วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มารู้จักน้ำแร่กันเถอะ !!

ในปัจจุบันนี้มีความสนใจในเรื่องน้ำแร่ชนิดต่างๆที่มีผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ "น้ำแร่พลังแม่เหล็ก" แต่เนื่องจากข้อมูลจากการศึกษาเท่าที่รวบรวมได้ยังมีน้อยและไม่ชัดเจน จึงขอกล่าวถึงน้ำแร่ที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งอาจมีหลายยี่ห้อหลายรูปแบบ แต่ก่อนที่คุณจะเลือกซื้อมาบริโภคนั้น อยากให้ได้รับข้อมูลที่น่าจะมีประโยชน์ต่อการเลือกบริโภคน้ำแร่ โดยจะนำเสนอประเภทของน้ำแร่ที่แยกตามผลที่มีต่อร่างกายและฤทธิ์ในการบำบัด โรคเป็นเกณฑ์ในการจัดประเภทน้ำแร่

ชนิดของน้ำแร่
น้ำแร่ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate water) มีปริมาณไบคาร์บอเนต> 600 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยปรับให้สารคัดหลั่งที่มีฤทธิ์เป็นกรดกลายเป็นกลาง, กระตุ้นการเคลื่อนของอาหารจากกระเพาะไปยังลำไส้เล็กให้เร็วขึ้น, กระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนในกระเพาะอาหาร, ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำและเหลือแร่ให้แก่ร่างกาย จึงควรดื่มน้ำแร่นี้ 500-700 มิลลิลิตร ก่อนออกกำลังกายหรือทำงานที่ต้องเสียเหงื่อ เนื่องจากจะช่วยในการลดภาวะเลือดเป็นกรด ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Volvic, Fiji, Snowy mountain เป็นต้น

น้ำแร่ซัลเฟต (Sulfate water) มีปริมาณ ซัลเฟต> 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ โดยเฉพาะในคนที่ท้องผู้กเรื้อรัง เนื่องจาก น้ำแร่ซัลเฟตมีผลแรงดันออสโมติคและ ช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนซีซีเค (CCK) เนื่องจากซัลเฟตมีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ
ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Pi water เป็นต้น

น้ำแร่ซัลเฟต-ไบคาร์บอเนต (Sulfate-bicarbonate waters) ใช้รักษาภาวะที่การทำงานของถุงน้ำดีผิดปกติ, นิ่วในถุงน้ำดี, อาการหลังผ่าตัดถุงน้ำดี
น้ำแร่ซัลเฟอร์, เกลือ-ไอโอดีน, เกลือ-โบรมีน-ไอโอดีน (Sulfurous, salt-iodine, salt-bromine-iodine waters) มักใช้กับอวัยวะภายนอกร่างกาย เช่น การอาบ หรืออาจใช้ สูดพ่นทางทางเดินหายใจบ้าง บรรเทาอาการอักเสบของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง และบรรเทาอาการทางผิวหนังบางชนิด

น้ำแร่ซัลเฟอร์และไบคาร์บอเนต (Sulfurous and bicarbonate waters) ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน โดยจะลดระดับน้ำตาล อาการกระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย และช่วยลดความต้องการอินซูลิน นอกจากนี้น้ำแร่ไบคาร์บอเนต ยังช่วยลดภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวานได้
น้ำแร่คลอรีน (น้ำเกลือ) (Chlorinated water (salt water) มีปริมาณคลอไรด์> 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของลำไส้และการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับน้ำและ อิเล็กโตรไลท์, กระตุ้นการหลั่งน้ำดี, บรรเทาอาการท้องผูก
น้ำแร่แคลเซียม (calcium water) มีปริมาณแคลเซียม> 150 มิลลิกรัมต่อลิตร น้ำแร่ที่มีแคลเซียมในปริมณมากเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีความต้องการแคลเซียม ในปริมาณมากกว่าคนปกติ เช่น เด็ก หญิงตั้งครรภ์ สตรีสัยหมดประจำเดือน ผู้สูงอายุ และจากการวิจัยไม่นานมานี้ พบว่า แคลเซียมอาจช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Evian, Badoit เป็นต้น

น้ำแร่แมกนีเซียม (Magnesium water) มีปริมาณแมกนีเซียม > 50 มิลลิกรัมต่อลิตร การมีแมกนีเซียมในน้ำแร่สูงจะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดี เนื่องจากมีผลในการทำให้ Oddi sphincter คลายตัว

น้ำแร่ฟลูออเรด(Fluorate water) มีปริมาณฟลูออไรด์ > 1 มิลลิกรัมต่อลิตร

น้ำแร่เหล็ก(Ferrous water) มีปริมาณเหล็กเฟอรัส > 1 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยบรรเทาอาการในภาวะโลหิตจากที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก และใช้ในภาวะไฮโปธัยรอยด์

น้ำแร่โซเดียม(Sodium water) ปริมาณ โซเดียม> 200 มิลลิกรัมต่อลิตร

น้ำแร่เกลือต่ำ(Low-salt water) ปริมาณ โซเดียม < 20 มิลลิกรัมต่อลิตร

น้ำแร่คาร์บอร์นิค (Carbonic waters) มักใช้ในการอาบ และบรรเทาอาการของหลอดเลือดส่วนปลาย

วิธีดื่มน้ำแร่ ควรทำอย่างไร ?
วิธีดื่มน้ำแร่แบ่งได้ 2 วิธี คือ
1. การดื่มน้ำแร่ปริมาณมากในระยะเวลาสั้นๆ (Water loading) คือ การดื่มน้ำปริมาณ 1 ลิตร ภายใน 30 นาที ขณะท้องว่าง ซึ่งการดื่มน้ำแร่วิธีนี้จะใช้กับน้ำแร่ชนิดที่หวังผล เช่น เพื่อขับนิ่วออกจากร่างกาย วิธีนี้ไม่ควรดื่มก่อนนอน เนื่องจากจะทำให้ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำในช่วงกลางคืน

2. การดื่มแบบทยอยในปริมาณไม่สูง (Subdivided doses) คือ การดื่มน้ำแร่ปริมาณ 500 มิลลิลิตร และ ตามด้วยน้ำแร่ 10 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยจิบน้ำครั้งละน้อยขณะอ่อนเพลีย หรือขณะเดิน หรือพร้อมมื้ออาหารสำหรับนักกีฬา ควรดื่มน้ำแร่ที่มีปริมาณเกลือแร่น้อยถึงปานกลาง ตลอด 2 ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน โดยดื่ม 100-150 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที และดื่ม 400-500 มิลลิลิตร 15 นาทีสุดท้ายของชั่วโมงที่ 2 หลังการอบอุ่นร่างกาย ระหว่างการแข่งขัน ควรดื่ม 200-250 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที โดยปริมาณของเหลวที่ดื่มเข้าร่างกายหลังแข่งขันหรือเล่นกีฬานั้น ควรมีปริมาณร้อยละ 150 ของน้ำหนักตัว ซึ่งปริมาณของเหลวที่บริโภคโดยทั่วไป คือ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน

ใครไม่ควรดื่มน้ำแร่ ?
ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ประโยชน์จากน้ำแร่ หากดื่มไปโดยไม่ระวังอาจเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ แล้วใครกัน...ที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่?

ชนิดของน้ำแร่ ผู้ที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่
น้ำแร่ ผู้ที่บวมน้ำ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่มีการทำงานของหัวใจไม่ดี
น้ำแร่ที่มีปริมาณโซเดียมสูง ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
น้ำแร่เกลือโซเดียมคลอไรด์ (Sodium chloride waters) ผู้ที่มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารปริมาณมาก แผลในกระเพาะอาหารและความดันโลหิตสูง
น้ำแร่ซัลเฟอร์ (Sulfurous waters) ผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบทางเดินหายใจที่มีภาวะหลอดลมหดเกร็ง
น้ำแร่ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate waters) ผู้ป่วยที่มีภาวะ gastric hypochilia
น้ำแร่ซัลเฟต (Sulfate waters) ผู้ป่วยที่มีโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารและมีแผลในทางเดินอาหาร

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิยาลัยมหิดล http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=20

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความในใจของนักเรียนนานาชาติกับประเทศตัวเองในสายตาชาวโลก

ณ คาบเรียน Creative Languages คาบที่มีนักเรียนไทยน้อยชีวิต (ซึ่งทั้งห้องมียี่สิบกว่าคน ผมเป็นคนไทยคนเดียว Undecided) ก็เป็นคาบเรียนที่น่าสนใจครับ เนื่องจากเราจะได้พูดคุยพบปะกับนักเรียนต่างชาติ ชนิดที่ว่านานาชาติเลยก็ว่าได้ มีกิจกรรมเขียนลงบนแผ่นกระดาษขนาดใหญ่ๆ ตกแต่งให้สวยเหมือนโปสเตอร์ครับ เขียนถึงประเทศตัวเองว่าประเทศเรามีอะไรที่น่าเอามาคุยบ้าง แต่ผลงานที่ออกมามันกลับไม่ตรงกับที่กำหนดไว้แฮะ นั่นคือนักเรียนทุกคนเขียนออกแนว "ประเทศฉันไม่ได้เป็นแบบนี้" ออกมากันหมดเลย (ผมด้วยนะ Kiss)
 
เอาล่ะครับ ถ้าในสายตาชาวโลก เขามองประเทศไทยว่าอะไร คุณๆพอจะเดาออกกันแล้วใช่มั้ยครับ เอาล่ะมาดูดีกว่าว่าผมเขียนอะไรลงไปบ้าง
 
ปล.ข้อความเหล่านี้แปลไทยหมดแล้วนะ
 
 Thailand
  1. เราไม่ได้ขี่ช้างแทนรถ
  2. เช่นเดียวกัน เราไม่ได้ขี่ควายไปเรียน
  3. นักเรียนผู้หญิงของเราเป็นผู้หญิงจริงๆ
  4. ไม่ใช่คนไทยทุกคนจะขี้เกียจ
  5. เมืองหลวงเราคือกรุงเทพฯ ไม่ใช่พัทยา
  6. เราอาศัยอยู่ในบ้าน มีตึกสูง ไม่ได้อยู่ในเพิงไม้ในป่า
 เขียนได้แค่นี้ ที่เต็มก่อนFoot in mouth
 
เอาล่ะ เรามาดูจากประเทศอื่นๆมั่งดีกว่าว่าเขาเขียนอะไรบ้าง
 
Korea
  1. ซัมซุง แอลจี เป็นของเกาหลี ไม่ใช่ญี่ปุ่น
  2. เราไม่ได้กินกิมจิทุกวัน
  3. คนเกาหลีไม่ได้บ้าเหล้า,บ้างาน
  4. ถึงประเทศเราจะเล็ก แต่เทคโนโลยีของเราก็เจริญไม่แพ้กัน (อืมม)
  5. คนเกาหลีไม่ได้กินหมา (หรา?)
เอาแค่นี้พอ ข้อหลังๆออกแนวซุงแหล (ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับซัมซุงนะ Kiss)
 
Japan
  1. เราไม่ได้ใส่ชุดกิโมโนตลอดเวลา
  2. เราไม่ได้กินซูชิทุกวัน
  3. คนญี่ปุ่นไม่ได้เป็นนินจา
  4. ประเทศเราไม่ได้อุดมไปด้วยโอตาคุ
  5. รถไฟบ้านเราเร็วมาก
Brazil
  1. เรามีบ้านอยู่ ในเมืองมีตึกสูงๆ ไม่ได้อยู่ในป่าอะเมซอน
  2. เรามีสัตว์เลี้ยงเป็นหมาแมว ที่แน่ๆเราไม่ได้เลี้ยงลิง
  3. งานคาร์นิวัลมีแค่ไม่กี่วันใน 1 ปี
  4. เราพูดภาษาโปรตุเกส ไม่ใช่สเปน และไม่มีภาษาบราซิล
  5. เรามีโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตใช้
  6. จีบผู้หญิงบราซิลไม่ง่ายอย่างที่คิด (ท่าทางจะเขียนโดยผู้หญิง)
Taiwan
  1. ไต้หวันเป็นประเทศ ไม่ใช่เมือง รัฐ หรือเขตปกตรองตัวเองของจีน
  2. เราพูดภาษาแมนดาริน ภาษาประจำชาติคือภาษาไต้หวัน คล้ายภาษาจีน
  3. ประเทศเราเป็นเกาะ เล็กพอๆกับเกาะแวนคูเวอร์เอง
Russia
  1. เราไม่มีหมีเดินในเมืองและบนถนน
  2. ประเทศเราหนาว แต่ไม่ได้ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง
  3. นิกจากวอดก้าแล้ว ประเทศเรามีเครื่องดื่มอีกหลากชนิด
  4. แน่นอน เราไม่ได้ดื่มวอดก้ากันทุกวัน
  5. ประเทศรัสเซียมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
  6. ชาวรัสเซียไม่ได้หยาบคายทุกคน
Germany
  1. อาหารเยอรมันมีอะไรที่มากกว่าไส้กรอก
  2. เยอรมันมีไวน์ และเครื่องดื่มอีกเยอะแยะ ไม่ได้มีแต่เบียร์
  3. ประเทศเรามีเมืองสวยๆอีกมาก ไม่ใช่แค่เบอร์ลิน แฟรงเฟริ์ด บาวาเรีย
  4. ฮิตเลอร์ตายแล้ว และเราดีใจมาก ตกลงนะ (อันนี้เจ็บ)
Columbia
  1. ปานามาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของโคลัมเบีย
  2. ประเทศเรามีฤดูเดียว
  3. เราไม่ได้ขี้เกียจ
  4. อย่ามาถามเรื่องโคเคนกับฉัน ฉันไม่ตลกด้วย ตกลงนะ (อันนี้ก็เจ็บ)
  
Saudi Arabia
  1. เรามีเมืองกับตึกสูง ไม่ได้อยู่ในกระโจมกลางทะเลทราย
  2. น้ำมันบ้านเราถูกมาก
  3. ผู้หญิงซาอุฯเต็มใจที่จะแต่งตัวด้วยชุดประจำชาติ
  4. เราไม่ได้กดขี่ผู้หญิงมากเหมือนในข่าว
  5. เราไม่ได้ขี่อูฐแทนรถ (ความรู้สึกเดียวกับไทยเลย Foot in mouth)
  6. เรา "ไม่ใช่" ผู้ก่อการร้าย (Critical!!!)
France
  1. เราชอบกินขนมปัง แต่เราไม่ได้กินทุกมื้อ
  2. เราอาบน้ำเป็น และไม่ได้ใส่น้ำหอมกลบกลิ่นทุกคน
  3. ไม่ใช่ชาวฝรั่งเศสทุกคนเกลียดอังกฤษ
  4. หอไอเฟลมีที่เดียวคือในกรุงปารีส และกรุงปารีสมีที่เดียวในฝรั่งเศส
  5. เราคิดว่าชาวอเมริกันโง่ (อ้าว!? ต่อยกะโอบาม่ามั้ยสาด!!)
Switzerland
  1. ชาวสวิสไม่ได้ทำงานในธนาคารทุกคน
  2. ชาวสวิสส่วนมากพูดภาษาฝรั่งเศสและเยอรมัน
  3. ฟองดูเป็นอาการประจำชาติสวิส ไม่ใช่ฝรั่งเศส
  4. บนภูเขาบางฤดูก็ไม่มีหิมะ
  5. นอกจากโกโก้กับชีสแล้ว ไวน์ของเราก็อร่อยนะ
Mexico
  1. นอกจากทาโก้กับเตกิล่าแล้ว ประเทศเรามีอะไรให้กินอีกเยอะแยะ
  2. เราไม่ได้กินเนื้อลา
  3. หนังส่วนมากจะชอบถ่ายทำในสถานที่ยากจนในเม๊กซิโก แต่ประเทศเราก็มีคนรวยนะ
  4. เราไม่ได้ใส่หมวกใหญ่ๆทุกวัน
 
อ่านแล้วเราคงไม่เคืองที่โลกนี้มองเราแบบนั้น เพราะประเทศอื่นๆเขาก็เจอมาเหมือนกัน
 
ปล.ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงมองประเทศอื่นๆ ในแบบที่เขาระบายออกมาเหมือนกันนะ อิ๊ๆCry 
 
 ขอบคุณที่มา...warbandit.exteen.com
 

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แอบถ่ายสองผัวเมีย!! (18+)

คือเรื่องของเรื่องมีอยู่ว่ากระผมกำลังจะขับรถออกจากบ้านแล้วบังเอิญมองไปเห็นแมลงวันสองผัวเมียเกาะกระจกมองข้างในลักษณะตามรูปที่เห็น ผมไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป แถมตัวที่อยู่ข้างบน(คาดว่าน่าจะตัวผู้)ก็ยังหันมามองตาขวาง ทำปากขมุบขมิบพอจับใจความได้ว่า "เดี๋ยวซิวะ กำลังเมามันส์ แสรดดดด" 

ผมก็เลยบอกกับมันว่า "เออ!! งั้นกุจะถ่ายรูปมึงลงเฟซบุ๊ค กุไม่เซ็นเซอร์หน้ามึงด้วย และเรื่องนี้ถึงหูเมียหลวงมึงแน่" พอผมกดชัตเตอร์เพื่อถ่ายรูป มันทั้งคู่ก็รีบหันหน้าหลบกล้อง กะว่าจะถ่ายอีกรูปให้เห็นหน้าแบบจะๆ ภรรยาก็เร่งให้ออกรถเร็วๆ เดี๋ยวจะไปทำงานสาย ผมก็เลยละสายตาและความสนใจจากมันทั้งคู่...

พอส่งภรรยาเสร็จก็เหลือบไปมองพวกมัน...ก็ยังเกาะอยู่ โอ้ บร๊ะเจ้า...พวกมึงยังเอากันไม่เสร็จอีกรึเนี่ย? ขับรถมาจากบ้านถึงที่ทำงานภรรยาก็รวมระยะเวลา 45 นาทีเชียวนะ (แม่งเอ้ย! "อึด"กว่ากุอีก แสรดดดด) เรื่องก็มีเท่านี้...

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นับถอยหลังสู่สงครามโลกครั้งที่สาม

แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 70 ปี แต่ภาพความรุนแรงของสงครามโลกครั้งที่สองยังคงตราตรึงอยู่ในสังคมโลกอย่าง ไม่รางเลือน ในเวลานั้นประเทศที่เข้าสู่สงครามร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรที่ประกอบไปด้วย กลุ่มประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ใช้อาวุธหลากรูปแบบห้ำหั่นกับฝ่ายพันธมิตรอักษะที่มีเยอรมนีเป็นแกนนำร่วม กับญี่ปุ่นและอิตาลี ทั้งปืนใหญ่ เครื่องบินที่โปรยปรายลูกระเบิดเหล็กหนักหลายร้อยกิโลกรัมลงมาจากท้องฟ้า อาวุธจรวดพิสัยกลางที่ในเวลานั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา
                        
ส่วนญี่ปุ่นที่ยังไม่ยอมเลิกราจนสหรัฐอเมริกาต้องใช้ดินแดนอาทิตย์อุทัยเป็น สถานที่ทดลองอำนาจการทำลายล้างของระเบิดนิวเคลียร์ถึง 2 ลูก ที่เมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ บีบให้กองทัพสมเด็จพระจักรพรรดิยอมวางดาบยกธงขาวและลงนามตราสารยอมจำนนบน เรือรบมิสซูรีของสหรัฐในที่สุด ประเมินกันว่าสงครามโลกครั้งที่สอง ที่มีการใช้อาวุธทางทหารทำลายล้างกันนั้นทำให้พลเมืองโลกเสียชีวิตไปกว่า 60 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นพลเรือน 40 ล้านคน และทหาร 20 ล้านคน
                        
ที่หยิบยกเอาประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองมาอย่างยืดยาวนี้ เพื่อให้มองเห็นภาพอันเลวร้ายของสงครามที่ไม่เคยส่งผลดีใดๆ ต่อสังคมโลก มีแต่การสูญเสียเลือด เนื้อ และชีวิต เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ และเศรษฐกิจโลกล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ประชาชนผู้รอดชีวิตจากการหนีความตายกันจ้าละหวั่น ต้องใช้ชีวิตอย่างอดอยากยากแค้นแม้สงครามจะสิ้นสุดลงไปแล้วก็ตาม
                        
ทั้งยังอยากจะเตือนด้วยว่าสงครามโลกครั้งที่สามอาจจะปะทุขึ้นอย่างคาดไม่ถึง จากเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ของประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจที่ พยายามทำตัวเป็นตำรวจโลก ร่วมกับพันธมิตรในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่กำลังทำสงครามไซเบอร์กับประเทศคู่ขัดแย้งในตะวันออกกลาง ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ ว่ามี "ไวรัส" หรือ "มัลแวร์" เข้าทำลายเครื่องและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในประเทศอิหร่านถึง 3 ครั้ง 3 ครา
                       
เริ่มจากการค้นพบไวรัส "ไวเปอร์" (wiper) เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2553 ต่อมาก็มีข่าวการค้นพบไวรัส "สตุ๊กซ์เน็ต" (stuxnet) และล่าสุดไวรัสที่ชื่อ "เฟลม" (flame) ที่ได้ชื่อว่าเป็นไวรัสที่มีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพในการ "ล้วง" ข้อมูลอย่างยิ่ง โดย "เฟลม" ถูกตั้งโปรแกรมให้ค้นหาไฟล์เอกสารสำคัญนามสกุล .pdf และไฟล์พิมพ์เขียวจากโปรแกรมออกแบบ AutoCAD รวมทั้งเอกสารจดหมายอีเมลต่างๆ ก่อนส่งกลับไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นตอ ยิ่งไปกว่านั้น "เฟลม" ยังมีระบบควบคุมจากระยะไกล ที่ทำให้ผู้สร้างสามารถสั่งการควบคุมให้เจ้าตัวร้ายนี้ค้นหาไฟล์ที่ต้องการ ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป้าหมายได้อีกด้วย
                       
อิหร่านยอมรับว่าครั้งที่โดนไวรัส สตุ๊กซ์เน็ตเข้าไป ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ควบคุมโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของประเทศล้ม เหลวถึง 20 รอบ แต่ก็ไม่ยอมเปิดปากว่าครั้งที่รับไวรัสเฟลมเข้าไปนี้ถูก "ล้วง" อะไรออกไปบ้าง
                       
ห้องปฏิบัติการไวรัสคอมพิวเตอร์ของบริษัทแคสเปอร์สกี้แล็บ ยืนยันว่าไวรัส เฟลม นั้นมีความซับซ้อนเกินกว่าที่โปรแกรมเมอร์เอกชนจะมีศักยภาพในการสร้างขึ้น ได้ ซึ่งการเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันกับที่หนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ออกปากยอมรับว่าตนเองอยู่เบื้องหลังการโจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ อิหร่านด้วยไวรัสสตุ๊กซ์เน็ต แต่ก็ยังไม่ได้เปิดปากว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างไวรัสเฟลมมากน้อย เพียงใด
                       
แต่ในที่สุดความจริงก็เปิดเผยขึ้นมาเมื่อกระทรวงกลาโหมอิสราเอลยอมรับ "เป็นนัย" ว่าเป็นผู้สร้างไวรัสเฟลมขึ้นมาเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกา และอิสราเอล กำลังก่อสงครามไซเบอร์กับอิหร่านอย่างชัดเจน
                       
อย่างไรก็ตามไวรัสเฟลมไม่ได้ระบาดไปที่อิหร่านเพียงประเทศเดียว ดินแดนส่วนหนึ่งของอิสราเอลและปาเลสไตน์ ซีเรีย เลบานอน ซาอุดีอาระเบีย และอียิปต์ ก็มีการตรวจพบเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัสเฟลมด้วยเช่นกัน
                       
ร้อนถึงสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ไอทียู) ต้องประกาศเตือนภัยรัฐบาลนานาประเทศ ให้ระวังอันตรายของไวรัส เฟลม ซึ่งถือเป็นคำเตือนครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่องค์กรผู้ดูแลทรัพยากรการสื่อสาร และอินเทอร์เน็ตระดับโลก เคยประกาศออกมา และแสดงว่า สงครามไซเบอร์ระหว่างประเทศนั้นเริ่มต้นขึ้นมาแล้วจริงๆ



ขอบคุณข้อมูลจาก komchadluek.net

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ลดน้ำหนักห้ามอดมื้อเย็นถึงจะได้ผล

ความเชื่อว่าให้งดกินมื้อเย็นกินผลไม้หรือกินแค่แอปเปิ้ลเขียวลูกเดียวควบคู่กับการออกกำลังกายนั้น ความจริงก็ได้ผลแต่พอกลับมากินข้าวมื้อเย็นน้ำหนักก็กลับมาเหมือนเดิม การที่กินแค่แอปเปิ้ลเขียวอย่างเดียวในมื้อเย็น จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย เพราะร่างกายเราได้แค่วิตามินเพียงอย่างเดียว และร่างกายไม่ได้ดึงไขมันที่สะสมในร่างกายออกมาเผาผลาญ เนื่องจากไม่มีตัวช่วยให้ร่างกายเอาไขมันมาใช้ได้ ในช่วงแรกน้ำหนักจะลดในระยะสั้นๆ แต่พอเริ่มกลับมาทานมื้อเย็นน้ำหนักจะกลับมาเพิ่มมากกว่าปกติเพราะช่วงที่ กินแอปเปิลไปนั้นไม่ได้เผาผลาญอะไรเลย
ข้อแนะนำการลดน้ำหนักของคนสุขภาพดี นอกจากออกกำลังแล้ว ควรควบคุมอาหาร ลดคาร์โบไฮเดรต และทานโปรตีนที่ย่อยง่าย และผัก
ผลไม้เยอะๆ ช่วงตอนเย็นเป็นช่วงที่ใช้พลังงานน้อย

มีสูตรการทานมื้อเย็นดังนี้
กินข้าวกล้อง ครึ่งทัพพีกับน้ำพริก ปลาย่าง ทานผลไม้ หรือสลัด และนมอุ่นๆ 1 แก้ว
ทั้งหมดนี้จะทำให้ได้รับสารอาหาร คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และวิตามิน

ที่สำคัญ
ข้าวกล้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะช่วยในการดูดซึมไขมันในร่างกายเอาออกมาใช้เผาผลาญ
โปรตีนนม และเนื้อปลา จะไปซ่อมแซมร่างกายในช่วงสึกหรอในเวลากลางคืน และสามารถดูซึมวิตามินจากผักและผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเติมที่


ขอบคุณ คุณณัฐยา คีรีเพชร นักโภชนาการอาหาร โรงพยาบาลพญาไท 2
นิตยสาร สุขภาพดี
เรียบเรียงโดย Never-Age.com