ในปัจจุบันนี้มีความสนใจในเรื่องน้ำแร่ชนิดต่างๆที่มีผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ
"น้ำแร่พลังแม่เหล็ก"
แต่เนื่องจากข้อมูลจากการศึกษาเท่าที่รวบรวมได้ยังมีน้อยและไม่ชัดเจน
จึงขอกล่าวถึงน้ำแร่ที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งอาจมีหลายยี่ห้อหลายรูปแบบ
แต่ก่อนที่คุณจะเลือกซื้อมาบริโภคนั้น
อยากให้ได้รับข้อมูลที่น่าจะมีประโยชน์ต่อการเลือกบริโภคน้ำแร่
โดยจะนำเสนอประเภทของน้ำแร่ที่แยกตามผลที่มีต่อร่างกายและฤทธิ์ในการบำบัด
โรคเป็นเกณฑ์ในการจัดประเภทน้ำแร่
ชนิดของน้ำแร่
น้ำแร่ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate water)
มีปริมาณไบคาร์บอเนต> 600 มิลลิกรัมต่อลิตร
ช่วยปรับให้สารคัดหลั่งที่มีฤทธิ์เป็นกรดกลายเป็นกลาง,
กระตุ้นการเคลื่อนของอาหารจากกระเพาะไปยังลำไส้เล็กให้เร็วขึ้น,
กระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนในกระเพาะอาหาร,
ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำและเหลือแร่ให้แก่ร่างกาย จึงควรดื่มน้ำแร่นี้ 500-700
มิลลิลิตร ก่อนออกกำลังกายหรือทำงานที่ต้องเสียเหงื่อ
เนื่องจากจะช่วยในการลดภาวะเลือดเป็นกรด ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Volvic, Fiji, Snowy mountain เป็นต้น
น้ำแร่ซัลเฟต (Sulfate water) มีปริมาณ ซัลเฟต> 200
มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้
โดยเฉพาะในคนที่ท้องผู้กเรื้อรัง เนื่องจาก
น้ำแร่ซัลเฟตมีผลแรงดันออสโมติคและ ช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนซีซีเค
(CCK) เนื่องจากซัลเฟตมีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ
ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Pi water เป็นต้น
น้ำแร่ซัลเฟต-ไบคาร์บอเนต (Sulfate-bicarbonate waters) ใช้รักษาภาวะที่การทำงานของถุงน้ำดีผิดปกติ, นิ่วในถุงน้ำดี, อาการหลังผ่าตัดถุงน้ำดี
น้ำแร่ซัลเฟอร์, เกลือ-ไอโอดีน, เกลือ-โบรมีน-ไอโอดีน (Sulfurous,
salt-iodine, salt-bromine-iodine waters) มักใช้กับอวัยวะภายนอกร่างกาย
เช่น การอาบ หรืออาจใช้ สูดพ่นทางทางเดินหายใจบ้าง
บรรเทาอาการอักเสบของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง และบรรเทาอาการทางผิวหนังบางชนิด
น้ำแร่ซัลเฟอร์และไบคาร์บอเนต (Sulfurous and bicarbonate waters)
ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน โดยจะลดระดับน้ำตาล อาการกระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย
และช่วยลดความต้องการอินซูลิน นอกจากนี้น้ำแร่ไบคาร์บอเนต
ยังช่วยลดภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวานได้
น้ำแร่คลอรีน (น้ำเกลือ) (Chlorinated water (salt water)
มีปริมาณคลอไรด์> 200 มิลลิกรัมต่อลิตร
ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของลำไส้และการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับน้ำและ
อิเล็กโตรไลท์, กระตุ้นการหลั่งน้ำดี, บรรเทาอาการท้องผูก
น้ำแร่แคลเซียม (calcium water) มีปริมาณแคลเซียม>
150 มิลลิกรัมต่อลิตร
น้ำแร่ที่มีแคลเซียมในปริมณมากเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีความต้องการแคลเซียม
ในปริมาณมากกว่าคนปกติ เช่น เด็ก หญิงตั้งครรภ์ สตรีสัยหมดประจำเดือน
ผู้สูงอายุ และจากการวิจัยไม่นานมานี้ พบว่า
แคลเซียมอาจช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Evian, Badoit เป็นต้น
น้ำแร่แมกนีเซียม (Magnesium water)
มีปริมาณแมกนีเซียม > 50 มิลลิกรัมต่อลิตร
การมีแมกนีเซียมในน้ำแร่สูงจะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดี
เนื่องจากมีผลในการทำให้ Oddi sphincter คลายตัว
น้ำแร่ฟลูออเรด(Fluorate water) มีปริมาณฟลูออไรด์ > 1 มิลลิกรัมต่อลิตร
น้ำแร่เหล็ก(Ferrous water) มีปริมาณเหล็กเฟอรัส > 1 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยบรรเทาอาการในภาวะโลหิตจากที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก และใช้ในภาวะไฮโปธัยรอยด์
น้ำแร่โซเดียม(Sodium water) ปริมาณ โซเดียม> 200 มิลลิกรัมต่อลิตร
น้ำแร่เกลือต่ำ(Low-salt water) ปริมาณ โซเดียม < 20 มิลลิกรัมต่อลิตร
น้ำแร่คาร์บอร์นิค (Carbonic waters) มักใช้ในการอาบ และบรรเทาอาการของหลอดเลือดส่วนปลาย
วิธีดื่มน้ำแร่ ควรทำอย่างไร ?
วิธีดื่มน้ำแร่แบ่งได้ 2 วิธี คือ
1. การดื่มน้ำแร่ปริมาณมากในระยะเวลาสั้นๆ (Water loading)
คือ การดื่มน้ำปริมาณ 1 ลิตร ภายใน 30 นาที ขณะท้องว่าง
ซึ่งการดื่มน้ำแร่วิธีนี้จะใช้กับน้ำแร่ชนิดที่หวังผล เช่น
เพื่อขับนิ่วออกจากร่างกาย วิธีนี้ไม่ควรดื่มก่อนนอน
เนื่องจากจะทำให้ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำในช่วงกลางคืน
2. การดื่มแบบทยอยในปริมาณไม่สูง (Subdivided doses)
คือ การดื่มน้ำแร่ปริมาณ 500 มิลลิลิตร และ ตามด้วยน้ำแร่ 10
มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยจิบน้ำครั้งละน้อยขณะอ่อนเพลีย
หรือขณะเดิน หรือพร้อมมื้ออาหารสำหรับนักกีฬา ควรดื่มน้ำแร่ที่มีปริมาณเกลือแร่น้อยถึงปานกลาง ตลอด 2
ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน โดยดื่ม 100-150 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที และดื่ม
400-500 มิลลิลิตร 15 นาทีสุดท้ายของชั่วโมงที่ 2 หลังการอบอุ่นร่างกาย
ระหว่างการแข่งขัน ควรดื่ม 200-250 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที
โดยปริมาณของเหลวที่ดื่มเข้าร่างกายหลังแข่งขันหรือเล่นกีฬานั้น
ควรมีปริมาณร้อยละ 150 ของน้ำหนักตัว ซึ่งปริมาณของเหลวที่บริโภคโดยทั่วไป
คือ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
ใครไม่ควรดื่มน้ำแร่ ?
ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ประโยชน์จากน้ำแร่ หากดื่มไปโดยไม่ระวังอาจเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ แล้วใครกัน...ที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่?
ชนิดของน้ำแร่ ผู้ที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่
น้ำแร่ ผู้ที่บวมน้ำ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่มีการทำงานของหัวใจไม่ดี
น้ำแร่ที่มีปริมาณโซเดียมสูง ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
น้ำแร่เกลือโซเดียมคลอไรด์ (Sodium chloride waters)
ผู้ที่มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารปริมาณมาก
แผลในกระเพาะอาหารและความดันโลหิตสูง
น้ำแร่ซัลเฟอร์ (Sulfurous waters) ผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบทางเดินหายใจที่มีภาวะหลอดลมหดเกร็ง
น้ำแร่ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate waters) ผู้ป่วยที่มีภาวะ gastric hypochilia
น้ำแร่ซัลเฟต (Sulfate waters) ผู้ป่วยที่มีโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารและมีแผลในทางเดินอาหาร
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิยาลัยมหิดล http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=20
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ความในใจของนักเรียนนานาชาติกับประเทศตัวเองในสายตาชาวโลก
ณ คาบเรียน Creative Languages คาบที่มีนักเรียนไทยน้อยชีวิต (ซึ่งทั้งห้องมียี่สิบกว่าคน ผมเป็นคนไทยคนเดียว ) ก็เป็นคาบเรียนที่น่าสนใจครับ เนื่องจากเราจะได้พูดคุยพบปะกับนักเรียนต่างชาติ ชนิดที่ว่านานาชาติเลยก็ว่าได้ มีกิจกรรมเขียนลงบนแผ่นกระดาษขนาดใหญ่ๆ ตกแต่งให้สวยเหมือนโปสเตอร์ครับ เขียนถึงประเทศตัวเองว่าประเทศเรามีอะไรที่น่าเอามาคุยบ้าง
แต่ผลงานที่ออกมามันกลับไม่ตรงกับที่กำหนดไว้แฮะ นั่นคือนักเรียนทุกคนเขียนออกแนว "ประเทศฉันไม่ได้เป็นแบบนี้" ออกมากันหมดเลย (ผมด้วยนะ )
เอาล่ะครับ ถ้าในสายตาชาวโลก เขามองประเทศไทยว่าอะไร คุณๆพอจะเดาออกกันแล้วใช่มั้ยครับ เอาล่ะมาดูดีกว่าว่าผมเขียนอะไรลงไปบ้าง
ปล.ข้อความเหล่านี้แปลไทยหมดแล้วนะ
Thailand
- เราไม่ได้ขี่ช้างแทนรถ
- เช่นเดียวกัน เราไม่ได้ขี่ควายไปเรียน
- นักเรียนผู้หญิงของเราเป็นผู้หญิงจริงๆ
- ไม่ใช่คนไทยทุกคนจะขี้เกียจ
- เมืองหลวงเราคือกรุงเทพฯ ไม่ใช่พัทยา
- เราอาศัยอยู่ในบ้าน มีตึกสูง ไม่ได้อยู่ในเพิงไม้ในป่า
เขียนได้แค่นี้ ที่เต็มก่อน
เอาล่ะ เรามาดูจากประเทศอื่นๆมั่งดีกว่าว่าเขาเขียนอะไรบ้าง
Korea
- ซัมซุง แอลจี เป็นของเกาหลี ไม่ใช่ญี่ปุ่น
- เราไม่ได้กินกิมจิทุกวัน
- คนเกาหลีไม่ได้บ้าเหล้า,บ้างาน
- ถึงประเทศเราจะเล็ก แต่เทคโนโลยีของเราก็เจริญไม่แพ้กัน (อืมม)
- คนเกาหลีไม่ได้กินหมา (หรา?)
เอาแค่นี้พอ ข้อหลังๆออกแนวซุงแหล (ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับซัมซุงนะ )
Japan
- เราไม่ได้ใส่ชุดกิโมโนตลอดเวลา
- เราไม่ได้กินซูชิทุกวัน
- คนญี่ปุ่นไม่ได้เป็นนินจา
- ประเทศเราไม่ได้อุดมไปด้วยโอตาคุ
- รถไฟบ้านเราเร็วมาก
Brazil
- เรามีบ้านอยู่ ในเมืองมีตึกสูงๆ ไม่ได้อยู่ในป่าอะเมซอน
- เรามีสัตว์เลี้ยงเป็นหมาแมว ที่แน่ๆเราไม่ได้เลี้ยงลิง
- งานคาร์นิวัลมีแค่ไม่กี่วันใน 1 ปี
- เราพูดภาษาโปรตุเกส ไม่ใช่สเปน และไม่มีภาษาบราซิล
- เรามีโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตใช้
- จีบผู้หญิงบราซิลไม่ง่ายอย่างที่คิด (ท่าทางจะเขียนโดยผู้หญิง)
Taiwan
- ไต้หวันเป็นประเทศ ไม่ใช่เมือง รัฐ หรือเขตปกตรองตัวเองของจีน
- เราพูดภาษาแมนดาริน ภาษาประจำชาติคือภาษาไต้หวัน คล้ายภาษาจีน
- ประเทศเราเป็นเกาะ เล็กพอๆกับเกาะแวนคูเวอร์เอง
Russia
- เราไม่มีหมีเดินในเมืองและบนถนน
- ประเทศเราหนาว แต่ไม่ได้ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง
- นิกจากวอดก้าแล้ว ประเทศเรามีเครื่องดื่มอีกหลากชนิด
- แน่นอน เราไม่ได้ดื่มวอดก้ากันทุกวัน
- ประเทศรัสเซียมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
- ชาวรัสเซียไม่ได้หยาบคายทุกคน
Germany
- อาหารเยอรมันมีอะไรที่มากกว่าไส้กรอก
- เยอรมันมีไวน์ และเครื่องดื่มอีกเยอะแยะ ไม่ได้มีแต่เบียร์
- ประเทศเรามีเมืองสวยๆอีกมาก ไม่ใช่แค่เบอร์ลิน แฟรงเฟริ์ด บาวาเรีย
- ฮิตเลอร์ตายแล้ว และเราดีใจมาก ตกลงนะ (อันนี้เจ็บ)
Columbia
- ปานามาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของโคลัมเบีย
- ประเทศเรามีฤดูเดียว
- เราไม่ได้ขี้เกียจ
- อย่ามาถามเรื่องโคเคนกับฉัน ฉันไม่ตลกด้วย ตกลงนะ (อันนี้ก็เจ็บ)
Saudi Arabia
- เรามีเมืองกับตึกสูง ไม่ได้อยู่ในกระโจมกลางทะเลทราย
- น้ำมันบ้านเราถูกมาก
- ผู้หญิงซาอุฯเต็มใจที่จะแต่งตัวด้วยชุดประจำชาติ
- เราไม่ได้กดขี่ผู้หญิงมากเหมือนในข่าว
- เราไม่ได้ขี่อูฐแทนรถ (ความรู้สึกเดียวกับไทยเลย )
- เรา "ไม่ใช่" ผู้ก่อการร้าย (Critical!!!)
France
- เราชอบกินขนมปัง แต่เราไม่ได้กินทุกมื้อ
- เราอาบน้ำเป็น และไม่ได้ใส่น้ำหอมกลบกลิ่นทุกคน
- ไม่ใช่ชาวฝรั่งเศสทุกคนเกลียดอังกฤษ
- หอไอเฟลมีที่เดียวคือในกรุงปารีส และกรุงปารีสมีที่เดียวในฝรั่งเศส
- เราคิดว่าชาวอเมริกันโง่ (อ้าว!? ต่อยกะโอบาม่ามั้ยสาด!!)
Switzerland
- ชาวสวิสไม่ได้ทำงานในธนาคารทุกคน
- ชาวสวิสส่วนมากพูดภาษาฝรั่งเศสและเยอรมัน
- ฟองดูเป็นอาการประจำชาติสวิส ไม่ใช่ฝรั่งเศส
- บนภูเขาบางฤดูก็ไม่มีหิมะ
- นอกจากโกโก้กับชีสแล้ว ไวน์ของเราก็อร่อยนะ
Mexico
- นอกจากทาโก้กับเตกิล่าแล้ว ประเทศเรามีอะไรให้กินอีกเยอะแยะ
- เราไม่ได้กินเนื้อลา
- หนังส่วนมากจะชอบถ่ายทำในสถานที่ยากจนในเม๊กซิโก แต่ประเทศเราก็มีคนรวยนะ
- เราไม่ได้ใส่หมวกใหญ่ๆทุกวัน
อ่านแล้วเราคงไม่เคืองที่โลกนี้มองเราแบบนั้น เพราะประเทศอื่นๆเขาก็เจอมาเหมือนกัน
ปล.ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงมองประเทศอื่นๆ ในแบบที่เขาระบายออกมาเหมือนกันนะ อิ๊ๆ
ขอบคุณที่มา...warbandit.exteen.com
วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555
แอบถ่ายสองผัวเมีย!! (18+)
คือเรื่องของเรื่องมีอยู่ว่ากระผมกำลังจะขับรถออกจาก บ้านแล้วบังเอิญมองไปเห็นแม ลงวันสองผัวเมียเกาะกระจกมอ งข้างในลักษณะตามรูปที่เห็น ผมไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป แถมตัวที่อยู่ข้างบน(คาดว่า น่าจะตัวผู้)ก็ยังหันมามองต าขวาง ทำปากขมุบขมิบพอจับใจความได้ว่า "เดี๋ยวซิวะ กำลังเมามันส์ แสรดดดด"
ผมก็เลยบอกกับมันว่า "เออ!! งั้นกุจะถ่ายรูปมึงลงเฟซบุ๊ ค กุไม่เซ็นเซอร์หน้ามึงด้วย และเรื่องนี้ถึงหูเมียหลวงมึงแน่" พอผมกดชัตเตอร์เพื่อถ่ายรูป มันทั้งคู่ก็รีบหันหน้าหลบก ล้อง กะว่าจะถ่ายอีกรูปให้เห็นหน้าแบบจะๆ ภรรยาก็เร่งให้ออกรถเร็วๆ เดี๋ยวจะไปทำงานสาย ผมก็เลยละสายตาและความสนใจจ ากมันทั้งคู่...
พอส่งภรรยาเ สร็จก็เหลือบไปมองพวกมัน... ก็ยังเกาะอยู่ โอ้ บร๊ะเจ้า...พวกมึงยังเอากัน ไม่เสร็จอีกรึเนี่ย? ขับรถมาจากบ้านถึงที่ทำงานภ รรยาก็รวมระยะเวลา 45 นาทีเชียวนะ (แม่งเอ้ย! "อึด"กว่ากุอีก แสรดดดด) เรื่องก็มีเท่านี้...
ผมก็เลยบอกกับมันว่า "เออ!! งั้นกุจะถ่ายรูปมึงลงเฟซบุ๊
พอส่งภรรยาเ
วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555
นับถอยหลังสู่สงครามโลกครั้งที่สาม
แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 70 ปี
แต่ภาพความรุนแรงของสงครามโลกครั้งที่สองยังคงตราตรึงอยู่ในสังคมโลกอย่าง
ไม่รางเลือน
ในเวลานั้นประเทศที่เข้าสู่สงครามร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรที่ประกอบไปด้วย
กลุ่มประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ใช้อาวุธหลากรูปแบบห้ำหั่นกับฝ่ายพันธมิตรอักษะที่มีเยอรมนีเป็นแกนนำร่วม
กับญี่ปุ่นและอิตาลี ทั้งปืนใหญ่
เครื่องบินที่โปรยปรายลูกระเบิดเหล็กหนักหลายร้อยกิโลกรัมลงมาจากท้องฟ้า
อาวุธจรวดพิสัยกลางที่ในเวลานั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา
ส่วนญี่ปุ่นที่ยังไม่ยอมเลิกราจนสหรัฐอเมริกาต้องใช้ดินแดนอาทิตย์อุทัยเป็น สถานที่ทดลองอำนาจการทำลายล้างของระเบิดนิวเคลียร์ถึง 2 ลูก ที่เมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ บีบให้กองทัพสมเด็จพระจักรพรรดิยอมวางดาบยกธงขาวและลงนามตราสารยอมจำนนบน เรือรบมิสซูรีของสหรัฐในที่สุด ประเมินกันว่าสงครามโลกครั้งที่สอง ที่มีการใช้อาวุธทางทหารทำลายล้างกันนั้นทำให้พลเมืองโลกเสียชีวิตไปกว่า 60 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นพลเรือน 40 ล้านคน และทหาร 20 ล้านคน
ที่หยิบยกเอาประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองมาอย่างยืดยาวนี้ เพื่อให้มองเห็นภาพอันเลวร้ายของสงครามที่ไม่เคยส่งผลดีใดๆ ต่อสังคมโลก มีแต่การสูญเสียเลือด เนื้อ และชีวิต เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ และเศรษฐกิจโลกล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ประชาชนผู้รอดชีวิตจากการหนีความตายกันจ้าละหวั่น ต้องใช้ชีวิตอย่างอดอยากยากแค้นแม้สงครามจะสิ้นสุดลงไปแล้วก็ตาม
ทั้งยังอยากจะเตือนด้วยว่าสงครามโลกครั้งที่สามอาจจะปะทุขึ้นอย่างคาดไม่ถึง จากเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ของประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจที่ พยายามทำตัวเป็นตำรวจโลก ร่วมกับพันธมิตรในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่กำลังทำสงครามไซเบอร์กับประเทศคู่ขัดแย้งในตะวันออกกลาง ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ ว่ามี "ไวรัส" หรือ "มัลแวร์" เข้าทำลายเครื่องและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในประเทศอิหร่านถึง 3 ครั้ง 3 ครา
เริ่มจากการค้นพบไวรัส "ไวเปอร์" (wiper) เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2553 ต่อมาก็มีข่าวการค้นพบไวรัส "สตุ๊กซ์เน็ต" (stuxnet) และล่าสุดไวรัสที่ชื่อ "เฟลม" (flame) ที่ได้ชื่อว่าเป็นไวรัสที่มีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพในการ "ล้วง" ข้อมูลอย่างยิ่ง โดย "เฟลม" ถูกตั้งโปรแกรมให้ค้นหาไฟล์เอกสารสำคัญนามสกุล .pdf และไฟล์พิมพ์เขียวจากโปรแกรมออกแบบ AutoCAD รวมทั้งเอกสารจดหมายอีเมลต่างๆ ก่อนส่งกลับไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นตอ ยิ่งไปกว่านั้น "เฟลม" ยังมีระบบควบคุมจากระยะไกล ที่ทำให้ผู้สร้างสามารถสั่งการควบคุมให้เจ้าตัวร้ายนี้ค้นหาไฟล์ที่ต้องการ ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป้าหมายได้อีกด้วย
อิหร่านยอมรับว่าครั้งที่โดนไวรัส สตุ๊กซ์เน็ตเข้าไป ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ควบคุมโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของประเทศล้ม เหลวถึง 20 รอบ แต่ก็ไม่ยอมเปิดปากว่าครั้งที่รับไวรัสเฟลมเข้าไปนี้ถูก "ล้วง" อะไรออกไปบ้าง
ห้องปฏิบัติการไวรัสคอมพิวเตอร์ของบริษัทแคสเปอร์สกี้แล็บ ยืนยันว่าไวรัส เฟลม นั้นมีความซับซ้อนเกินกว่าที่โปรแกรมเมอร์เอกชนจะมีศักยภาพในการสร้างขึ้น ได้ ซึ่งการเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันกับที่หนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ออกปากยอมรับว่าตนเองอยู่เบื้องหลังการโจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ อิหร่านด้วยไวรัสสตุ๊กซ์เน็ต แต่ก็ยังไม่ได้เปิดปากว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างไวรัสเฟลมมากน้อย เพียงใด
แต่ในที่สุดความจริงก็เปิดเผยขึ้นมาเมื่อกระทรวงกลาโหมอิสราเอลยอมรับ "เป็นนัย" ว่าเป็นผู้สร้างไวรัสเฟลมขึ้นมาเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกา และอิสราเอล กำลังก่อสงครามไซเบอร์กับอิหร่านอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามไวรัสเฟลมไม่ได้ระบาดไปที่อิหร่านเพียงประเทศเดียว ดินแดนส่วนหนึ่งของอิสราเอลและปาเลสไตน์ ซีเรีย เลบานอน ซาอุดีอาระเบีย และอียิปต์ ก็มีการตรวจพบเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัสเฟลมด้วยเช่นกัน
ร้อนถึงสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ไอทียู) ต้องประกาศเตือนภัยรัฐบาลนานาประเทศ ให้ระวังอันตรายของไวรัส เฟลม ซึ่งถือเป็นคำเตือนครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่องค์กรผู้ดูแลทรัพยากรการสื่อสาร และอินเทอร์เน็ตระดับโลก เคยประกาศออกมา และแสดงว่า สงครามไซเบอร์ระหว่างประเทศนั้นเริ่มต้นขึ้นมาแล้วจริงๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก komchadluek.net
จนสุดท้ายในช่วงปลายสงครามเมื่อเยอรมนีฮึกเหิมบุกเข้ายังดินแดนของรัสเซีย
และถูกความหนาวเย็นรุนแรงเล่นงานกองทัพจนย่ำแย่
และตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามรถถังในทะเลทรายบริเวณแอฟริกาเหนือ
ทำให้กองทัพเยอรมันต้องถอยร่นกลับเข้าประเทศและยกธงขาวยอมแพ้ในที่สุด
ส่วนญี่ปุ่นที่ยังไม่ยอมเลิกราจนสหรัฐอเมริกาต้องใช้ดินแดนอาทิตย์อุทัยเป็น สถานที่ทดลองอำนาจการทำลายล้างของระเบิดนิวเคลียร์ถึง 2 ลูก ที่เมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ บีบให้กองทัพสมเด็จพระจักรพรรดิยอมวางดาบยกธงขาวและลงนามตราสารยอมจำนนบน เรือรบมิสซูรีของสหรัฐในที่สุด ประเมินกันว่าสงครามโลกครั้งที่สอง ที่มีการใช้อาวุธทางทหารทำลายล้างกันนั้นทำให้พลเมืองโลกเสียชีวิตไปกว่า 60 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นพลเรือน 40 ล้านคน และทหาร 20 ล้านคน
ที่หยิบยกเอาประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองมาอย่างยืดยาวนี้ เพื่อให้มองเห็นภาพอันเลวร้ายของสงครามที่ไม่เคยส่งผลดีใดๆ ต่อสังคมโลก มีแต่การสูญเสียเลือด เนื้อ และชีวิต เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ และเศรษฐกิจโลกล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ประชาชนผู้รอดชีวิตจากการหนีความตายกันจ้าละหวั่น ต้องใช้ชีวิตอย่างอดอยากยากแค้นแม้สงครามจะสิ้นสุดลงไปแล้วก็ตาม
ทั้งยังอยากจะเตือนด้วยว่าสงครามโลกครั้งที่สามอาจจะปะทุขึ้นอย่างคาดไม่ถึง จากเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ของประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจที่ พยายามทำตัวเป็นตำรวจโลก ร่วมกับพันธมิตรในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่กำลังทำสงครามไซเบอร์กับประเทศคู่ขัดแย้งในตะวันออกกลาง ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ ว่ามี "ไวรัส" หรือ "มัลแวร์" เข้าทำลายเครื่องและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในประเทศอิหร่านถึง 3 ครั้ง 3 ครา
เริ่มจากการค้นพบไวรัส "ไวเปอร์" (wiper) เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2553 ต่อมาก็มีข่าวการค้นพบไวรัส "สตุ๊กซ์เน็ต" (stuxnet) และล่าสุดไวรัสที่ชื่อ "เฟลม" (flame) ที่ได้ชื่อว่าเป็นไวรัสที่มีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพในการ "ล้วง" ข้อมูลอย่างยิ่ง โดย "เฟลม" ถูกตั้งโปรแกรมให้ค้นหาไฟล์เอกสารสำคัญนามสกุล .pdf และไฟล์พิมพ์เขียวจากโปรแกรมออกแบบ AutoCAD รวมทั้งเอกสารจดหมายอีเมลต่างๆ ก่อนส่งกลับไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นตอ ยิ่งไปกว่านั้น "เฟลม" ยังมีระบบควบคุมจากระยะไกล ที่ทำให้ผู้สร้างสามารถสั่งการควบคุมให้เจ้าตัวร้ายนี้ค้นหาไฟล์ที่ต้องการ ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป้าหมายได้อีกด้วย
อิหร่านยอมรับว่าครั้งที่โดนไวรัส สตุ๊กซ์เน็ตเข้าไป ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ควบคุมโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของประเทศล้ม เหลวถึง 20 รอบ แต่ก็ไม่ยอมเปิดปากว่าครั้งที่รับไวรัสเฟลมเข้าไปนี้ถูก "ล้วง" อะไรออกไปบ้าง
ห้องปฏิบัติการไวรัสคอมพิวเตอร์ของบริษัทแคสเปอร์สกี้แล็บ ยืนยันว่าไวรัส เฟลม นั้นมีความซับซ้อนเกินกว่าที่โปรแกรมเมอร์เอกชนจะมีศักยภาพในการสร้างขึ้น ได้ ซึ่งการเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันกับที่หนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ออกปากยอมรับว่าตนเองอยู่เบื้องหลังการโจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ อิหร่านด้วยไวรัสสตุ๊กซ์เน็ต แต่ก็ยังไม่ได้เปิดปากว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างไวรัสเฟลมมากน้อย เพียงใด
แต่ในที่สุดความจริงก็เปิดเผยขึ้นมาเมื่อกระทรวงกลาโหมอิสราเอลยอมรับ "เป็นนัย" ว่าเป็นผู้สร้างไวรัสเฟลมขึ้นมาเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกา และอิสราเอล กำลังก่อสงครามไซเบอร์กับอิหร่านอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามไวรัสเฟลมไม่ได้ระบาดไปที่อิหร่านเพียงประเทศเดียว ดินแดนส่วนหนึ่งของอิสราเอลและปาเลสไตน์ ซีเรีย เลบานอน ซาอุดีอาระเบีย และอียิปต์ ก็มีการตรวจพบเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัสเฟลมด้วยเช่นกัน
ร้อนถึงสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ไอทียู) ต้องประกาศเตือนภัยรัฐบาลนานาประเทศ ให้ระวังอันตรายของไวรัส เฟลม ซึ่งถือเป็นคำเตือนครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่องค์กรผู้ดูแลทรัพยากรการสื่อสาร และอินเทอร์เน็ตระดับโลก เคยประกาศออกมา และแสดงว่า สงครามไซเบอร์ระหว่างประเทศนั้นเริ่มต้นขึ้นมาแล้วจริงๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก komchadluek.net
วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ลดน้ำหนักห้ามอดมื้อเย็นถึงจะได้ผล
ความเชื่อว่าให้งดกินมื้อเย็นกินผลไม้หรือกินแค่แอปเปิ้ลเขียวลูกเดียวควบคู่กับการออกกำลังกายนั้น ความจริงก็ได้ผลแต่พอกลับมากินข้าวมื้อเย็นน้ำหนักก็กลับมาเหมือนเดิม
การที่กินแค่แอปเปิ้ลเขียวอย่างเดียวในมื้อเย็น จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย
เพราะร่างกายเราได้แค่วิตามินเพียงอย่างเดียว
และร่างกายไม่ได้ดึงไขมันที่สะสมในร่างกายออกมาเผาผลาญ
เนื่องจากไม่มีตัวช่วยให้ร่างกายเอาไขมันมาใช้ได้
ในช่วงแรกน้ำหนักจะลดในระยะสั้นๆ
แต่พอเริ่มกลับมาทานมื้อเย็นน้ำหนักจะกลับมาเพิ่มมากกว่าปกติเพราะช่วงที่
กินแอปเปิลไปนั้นไม่ได้เผาผลาญอะไรเลย
ข้อแนะนำการลดน้ำหนักของคนสุขภาพดี นอกจากออกกำลังแล้ว ควรควบคุมอาหาร ลดคาร์โบไฮเดรต และทานโปรตีนที่ย่อยง่าย และผัก
ผลไม้เยอะๆ ช่วงตอนเย็นเป็นช่วงที่ใช้พลังงานน้อย
มีสูตรการทานมื้อเย็นดังนี้
ที่สำคัญ
ข้าวกล้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะช่วยในการดูดซึมไขมันในร่างกายเอาออกมาใช้เผาผลาญ
โปรตีนนม และเนื้อปลา จะไปซ่อมแซมร่างกายในช่วงสึกหรอในเวลากลางคืน และสามารถดูซึมวิตามินจากผักและผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเติมที่
ขอบคุณ คุณณัฐยา คีรีเพชร นักโภชนาการอาหาร โรงพยาบาลพญาไท 2
นิตยสาร สุขภาพดี
เรียบเรียงโดย Never-Age.com
ข้อแนะนำการลดน้ำหนักของคนสุขภาพดี นอกจากออกกำลังแล้ว ควรควบคุมอาหาร ลดคาร์โบไฮเดรต และทานโปรตีนที่ย่อยง่าย และผัก
ผลไม้เยอะๆ ช่วงตอนเย็นเป็นช่วงที่ใช้พลังงานน้อย
มีสูตรการทานมื้อเย็นดังนี้
กินข้าวกล้อง ครึ่งทัพพีกับน้ำพริก ปลาย่าง ทานผลไม้ หรือสลัด และนมอุ่นๆ 1 แก้ว
ทั้งหมดนี้จะทำให้ได้รับสารอาหาร คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และวิตามินที่สำคัญ
ข้าวกล้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะช่วยในการดูดซึมไขมันในร่างกายเอาออกมาใช้เผาผลาญ
โปรตีนนม และเนื้อปลา จะไปซ่อมแซมร่างกายในช่วงสึกหรอในเวลากลางคืน และสามารถดูซึมวิตามินจากผักและผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเติมที่
ขอบคุณ คุณณัฐยา คีรีเพชร นักโภชนาการอาหาร โรงพยาบาลพญาไท 2
นิตยสาร สุขภาพดี
เรียบเรียงโดย Never-Age.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)