วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

49 ความจริงของคนไทยที่ไปอยู่ในอเมริกา

1. คุณไม่จำเป็นต้องสอบ TOEFL, GRE, GMET ให้ถึงเกณฑ์ก็ได้  ยังมีมหาวิทยาลัยอีกมากให้คุณเรียนภาษาที่นั่นก่อน  แล้วสอบให้ผ่านในระดับที่เขาพอใจ  ซึ่งเป็นการสอบของมหาวิทยาลัยเอง  ดังนั้นคุณอาจคิดว่าไปแล้วน่าจะสอบไม่ได้หรือเปล่า แต่ในความจริงแล้ว เมื่อเราไปอยู่เราก็จะซึมซับมันไปเองตลอด ภาษาเราจะแกร่งขึ้นเอง ดีกว่าอยู่เมืองไทย  แล้วเรียนภาษาอังกฤษ ออกจากห้องไม่มีภาษาอังกฤษเลย ไทยล้วน ๆ แล้วมันจะซึมได้ไง
  
2. การหาที่พักล่วงหน้าใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะต้องยอมรับว่า เราไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน  ดังนั้น ไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงที่อยู่แถบนั้น ถูกกว่า ดีกว่า  อาจรออยู่ตรึม ที่เราจองไว้เป็นแบบห่วย ๆ ก็ได้  ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดน่าจะยังไม่ต้องจอง แต่เข้าไปแล้วหาที่พักชั่วคราวราคาไม่แพง อย่างเช่น Dorm ของมหาวิทยาลัย หรือโรงแรมถูก ๆ ก่อน  ค่อยหาที่พักจริง
  
3. อย่าแปลกใจถ้าคุณไปถึงที่นั่นแล้วพบว่ามีแต่คนเอเชีย อย่าลืมว่าคนเอเชียที่ไปเรียนต่ออเมริกามีจำนวนมาก (เผลอ ๆ มากกว่าคนอเมริกาที่มหาวิทยาลัยอีก!!)
  
4. การทำงานแบบลักลอบทำ เช่น ทำร้านอาหารไทย อาจให้ค่าตอบแทนที่พอจ่ายค่าห้องพัก แต่ต้องแลกมาด้วยการพบกับปัญหามากมาย เช่น  ปัญหาจากเจ้าของร้านขี้บ่น ปากจัด หรือจากลูกค้างี่เง่า
  
5. การทำงานแบบลักลอบทำบางอย่าง ถ้าคุณรู้จักคนที่เคยทำอยู่ก่อนหน้า คุณอาจจะได้ค่าเล่าเรียนแถมมาด้วย เช่น การทำงานในปั๊มน้ำมันมีทุนการศึกษาให้ด้วย (ค่าเทอม ค่าหนังสือ จ่ายให้หมดเลย)
  
6. อาหารจีนแบบซื้อกลับบ้าน จะใส่กล่องกระดาษ และมีหูหิ้วเป็นลวด
  
7. อย่าแปลกใจ? คนไปเรียนอเมริกาแล้วอ้วนกลับมา เพราะอาหารในอเมริกาให้เยอะมาก ถ้าคุณเป็นคนกินง่าย กินเก่ง อ้วนชัวร์!
  
8. ถึงแม้อาหารของอเมริกาจะทำให้อ้วนได้ง่าย แต่ก็ผ่านการควบคุมคุณภาพสูง  ดังนั้น จึงปลอดภัย สะอาด แม้แต่เรื่องสารพิษในผัก หรือผลไม้ก็มีมาตรการเข้มงวด
          
10. ถ้าคุณได้มีโอกาสไปนิวยอร์ก คุณจะได้เห็น Starbuck เยอะ และถี่เหมือนเห็น Seven11 บ้านเราเลย
  
11. ถ้าเมืองที่คุณอยู่หิมะตก คุณอาจเห็นวันที่รถจอดอยู่เต็มถนน หิมะสูงจนเปิดประตูรถไม่ได้!!!
  
12. ถ้าเมืองที่คุณอยู่ติดทะเล คุณอาจจะได้กินกุ้งลอปเสตอร์ตัวโต ราคาไม่แพงมากเท่าเมืองไทย แต่น้ำจิ้มเป็นเนยเหลว!!

13. การตัดผมในอเมริกาคิดค่าตัดแพง บางคนที่ไปอยู่จึงมักไม่ตัดผม  ปล่อยให้ยาว หรือให้เพื่อนตัดให้ หรือแม้กระทั่งตัดเอง เบี้ยว ๆ ไปบ้าง  ตามแต่ละคน

14. เน็ตไฮสปีดของอเมริกา เร็วมาก!

15. ถ้าคุณติด Cable TV แล้วคุณอยากดูช่องได้เยอะ ๆ คุณสามารถหาซื้อตัว Box ที่ถอดสัญญาณช่องที่กันไว้ได้ตามเวบไซต์
  
16. ร้านอาหารจีนส่วนใหญ่ในอเมริกา จะคล้าย ๆ โรงจำนำเมืองไทย  คือมีกระจกปิดเข้าไปสั่ง มีช่องส่งอาหาร คนซื้อกับคนขายมีกำแพงกั้น (เพื่อความปลอดภัย)

17. รถมือสองที่อเมริการาคาถูกมาก ควรหาซื้อตามที่ประกาศในหนังสือพิมพ์ แล้วไปลองขับเองก่อนการตัดสินใจ
  
18. การสอบใบขับขี่ที่อเมริกา ถ้าเจอสี่แยกแล้วไม่มี Stop Sign อย่าหยุด หรือแม้แต่ชะลอ เพราะจะทำให้คุณสอบตก เพราะเขาถือว่าไม่มี ไม่ต้องหยุด แต่คนไทยขืนไม่หยุดโดนชนได้ง่าย ๆ
  
19. การขับรถที่อเมริกา เมื่อเป็นป้าย Stop ให้หยุด แม้ถนนจะโล่งมากก็ตาม
  
20. เมื่อมีคนเดินสวนแล้วแบมือให้แสดงว่ามันมาขอตังค์ สังเกตแววตา  ถ้าตาแข็งกร้าวก็ระวังตัวหน่อย เพราะถ้าไม่ให้อาจเกิดอันตรายถึงชีวิต
  
21. การไปอยู่ต่างถิ่น ทำให้มีโอกาสพบประสบการณ์แปลก ๆ มากมาย  ดังนั้นถ้ามีแฟนอยู่แล้ว และไม่อยากเลิกกัน ก็ต้องหมั่นโทรกลับไทยบ่อย ๆ ค่าโทรถูกกว่าไทยโทรไปอเมริกา (ยิ่งตอนนี้น่าจะยิ่งโคตรถูก)
  
22. อย่ากิเลสเยอะ เช่น เวลาไปพกโน้ตบุ้คไป 1 เครื่องเนี่ย  รู้ไหม? ทำได้ทุกอย่างเลย โน้ตบุ้คต่อเข้า Port แปลงสัญญาณทีวีเอาไว้ดูทีวีก็ได้  ทำงานก็ได้ เล่นเกมส์ก็ได้ เล่นเน็ตก็ได้ (ยกเว้นจะทำหลายอย่างพร้อม ๆ กันก็ต้องซื้อเพิ่ม)

23. สวรรค์ของคนกินเก่งคือบุฟเฟต์อาหารจีน ราคาไม่แพงมาก ในแต่ละเมืองมักมี
  
24. ระวังคนไต้หวันยืมเงิน เพราะคุณอาจไม่ได้คืน

25. ระวังคนอินเดียตีสนิท  เพราะเขาอาจหวังพึ่งคุณขับรถไป Mall ต่าง ๆ (เพราะคุณมีรถ)
  
26. ควรหมั่นเข้าห้องสมุด เพราะบรรยากาศดี เงียบ และมักเปิดจนดึกดื่น (บางที่อาจเปิด 24 ชั่วโมง)
  
27. การไปเที่ยวเมื่อมีโอกาสเป็นสิ่งสำคัญ คนเราไม่ได้มีสิทธิ์ไปอยู่ต่างประเทศบ่อย ๆ  ถ้าได้ไป ก็อย่าได้เสียดายเงินมาก ไปเที่ยวบ้าง (เลือกประหยัดได้)
      
28. ถ้าคุณได้มีโอกาสทำงานแคชเชียร์ปั๊มน้ำมัน  คุณจะได้มีโอกาสฝึกการพูด "Hello", "Have a nice day", "Over there" บ่อย ๆ -*-
  
29. ถ้าคุณได้มีโอกาสกวาดหิมะ คุณจะรู้ว่าการใส่เสื้อหนาวหนา ๆ ถือพลั่ว สวมบู้ต เพื่อออกไปกวาดหิมะเปิดถนนนั้นเหนื่อยมากกกก แต่เหงื่อไม่ออกซักหยด!
  
30. ถ้าคุณได้มีโอกาสไปเดินตาม Outlet ต่าง ๆ ที่มีอยู่ชานเมืองมากมาย คุณจะได้ของมียี่ห้อ แต่ตกรุ่น และขายราคาถูกกว่าปกติ และมักใหญ่มาก


31. ถ้าคุณชอบซื้อของแบบประมูล หรือของจากบ้าน เมื่ออยู่อเมริกา จงใช้ ebay เหมือนเป็นห้างส่วนตัว
 
32. ถ้าที่ที่คุณเรียนมีโรงยิม ควรไปใช้บริการบ่อย ๆ เพราะจะได้ออกกำลัง แลกกับอาหารที่ทำให้คุณอ้วนมากมาย
 
33. ถ้าคุณอยากทานสเต็กทำเอง คุณไปหาซื้อเนื้อดี ๆ มาปิ้งกินด้วยเครื่องปิ้ง ยี่ห้อ George Foreman ได้
 
34. ถ้าคุณชอบเล่นดนตรี เมื่อคุณได้ที่พักแล้ว คุณสามารถออกไปหาซื้อพวกกีตาร์ หรืออะไร มาไว้ใช้ผ่อนคลายความเครียดต่างแดนได้ พวกมือสองมีวางขาย
 
35. ถ้าคุณชอบดูหนัง คุณซื้อตั๋วสำหรับดูเรื่องเดียว ตั๋วที่อเมริกาไม่มีที่นั่งกำหนด คุณนั่งตรงไหนก็ได้ ไม่มีคนตรวจข้างในด้วย ดูจบคุณก็เดินออกแล้วเข้าอีกโรงนึงก็ได้ ไม่มีคนคอยว่า (โกงนั่นเอง)
 
36. ถ้าคุณชอบเดินร้านหนังสือ  ขอบอกว่าร้านหนังสือที่อเมริกา  อย่าง Barns and Nobel ใหญ่มาก ๆ
 
37. การเดินทางไปอเมริกา นั่งเครื่องบินนานมาก

38. Redbull (กระทิงแดงของไทย) หาซื้อได้ทั่วไปในอเมริกา!!!  แต่ว่าแก้ง่วงได้แรงกว่าของไทยนะ

39. คุณไปนั่งริมทะเลที่อเมริกา เอาอะไรไปทำบาร์บีคิวได้ แต่ห้ามเอาเหล้าไปกิน ผิดกฎหมาย โดนจับได้
           
40. เวลาที่คนอเมริกาเปลี่ยนของใหญ่ ๆ เช่น เตียง เก้าอี้โยก โซฟา  เขาจะเอาวางไว้หน้าบ้านเลย เพื่อรอให้คนมาเก็บ เราคนไทยก็ขับรถตระเวนเก็บมา (ใช้ต่อ) ฮา ๆ

41. บางครั้ง  ถ้าไม่อยากทิ้งของเก่า ๆ คนอเมริกาจะเอามาขาย  เรียก Garage Sales หรือ Flee Market เหมือนเปิดท้ายขายของบ้านเรา
 
42. ร้านอาหารไทยในอเมริการาคามักแพง  และหารสเผ็ดไม่ค่อยได้

43. ถ้าคุณมีเพื่อนมาช่วยแชร์ค่าเช่าห้องจะดีมาก (ควรเป็นเพศเดียวกันนะ)
     
44. ไม่ผิดปกติ ถ้าพบว่าคนบางคนที่เช่าห้องอยู่ในอเมริกา แล้วไม่เคยทำความสะอาดห้องเลยเป็นปี
 
45. คนอเมริกันโดยมากมักอ้วน

46. การใช้รถอย่าลืมไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องด้วย เดี๋ยวเครื่องพัง แต่น้ำกลั่นไม่ค่อยเติม เพราะแบตเตอรี่ที่อเมริกาเป็นแบบแห้ง ไม่ต้องเติมน้ำ

47. รถคุณต้องเติมน้ำยา Coolant ด้วย เพราะจะช่วยรักษาอุณหภูมิของเหลว เนื่องจากอากาศในอเมริกา มีหนาวมาก ร้อนมาก

48. อเมริกามีบริการขนของเช่ารถ เช่น บริษัทยูฮอ คนนิยมทำอะไรเอง  เพราะค่าแรงแพงมาก ๆ ค่าครองชีพสูง

49. ถ้าคุณมีโอกาสได้มาเรียนที่อเมริกา … จงมา! มันคือประสบการณ์ที่ดีของชีวิตแน่นอน


ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก sanook.com

อภิมหา Wi-Fi เร็วสุดยอด

ทุกวันนี้คนใช้อินเตอร์เน็ตในการโหลดข้อมูลและสื่อดิจิตอลเพิ่มมากขึ้น ทุกปี นั่นทำให้ความต้องการความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์จาก Tokyo Institute of Technology ประเทศญี่ปุ่นได้ประสบความสำเร็จในการทำลายสถิติความเร็วของ Wi-Fi ที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 15-20 เท่า ถือว่าเร็วกว่ามาตรฐาน 802.11ac Wi-Fi รุ่นต่อไป ด้วยการใช้ย่านความถี่ Terahertz band ที่ยังไม่มีการควบคุมมาใช้ส่งข้อมูล ทางนักวิจัยได้ทำความเร็วไปแตะที่ 3GB ต่อวินาที ซึ่งทำลายสถิติเดิมที่ 1.5GB/วินาทีที่บริษัท ROHM ทำไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2011 ว่ากันตามทฤษฎีแล้ว Terahertz band ยังมีที่ว่างมากพอเพื่อไปแตะความเร็วที่ 100GB ต่อวินาทีได้ซึ่งสถิติใหม่ที่ทำได้ยังห่างไกลจากจุดนั้นอีกมากมาย

ย่านความถี่ Terahertz band หรือที่รู้จักกันในชื่อ T-Rays ซึ่งปัจจุบันถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ด้านการวิจัย สิ่งที่เหมือนกับคลื่น X-Rays ก็คือ เราสามารถใช้คลื่นนี้เคลื่อนที่ทะลุผ่านวัตถุเพื่อสร้างเป็นภาพออกมาได้ แต่อย่างไรก็ตาม T-Rays จะทิ้งพลังงานตกค้างน้อยกว่า X-Rays จึงทำให้มีความปลอดภัยในการใช้งานมากกว่า ก่อนหน้าที่จะมีการพัฒนาอุปกรณ์สำหรับย่านความถี่ Terahertz โดยนักวิจัยญี่ปุ่นครั้งนี้
เทคโนโลยีที่ใช้สำหรับการส่ง T-Ray ยังห่างไกลต่อการนำมาใช้กับเร้าท์เตอร์หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่อย่าง แล็ปท็อป, แท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน แต่อุปกรณ์เวอร์ชั่นที่ทางทีมนักวิจัยของญี่ปุ่นได้พัฒนาขึ้นมาครั้งนี้ถือ ว่าเป็นอีกก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการผลักดันให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการนำย่าน ความถี่ Terahertz band มาใช้ในเชิงพาณิชย์ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในบ้านหรือหน่วยงานธุรกิจ

แม้ว่าตอนนี้การส่งสัญญาณผ่าน Terahertz band ยังใช้งานได้ในระยะทางไม่เกิน 30 ฟุต แต่มันก็ยังเพียงพอต่อการสร้างระบบความบันเทิงไร้สายภายในบ้าน ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถตั้งอุปกรณ์ Terahertz band เอาไว้ข้างๆอินเตอร์เน็ตทีวี เพื่อดาวน์โหลดภาพยนตร์ระดับ Full HD 1080p ภายในเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น ถ้าหากอุตสาหกรรม consumer electronics ประสบความสำเร็จในการตอกย้ำให้ผู้บริโภคอัพเกรดระบบทีวีให้กลายเป็นระบบ 4K television ที่ความละเอียดสูงกว่า Full HD ภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้าแล้ว Terahertz band ก็จะมีประโยชน์อย่างมหาศาล เช่น คุณสามารถดาวน์โหลดตัวอย่างภาพยนตร์ขนาด 500GB ได้ในเวลาแค่สองนาทีครึ่งเท่านั้น


ขอบคุณข้อมูลจาก Dailygizmo

เทคนิคและวิธีการรับมือพวกทวงหนี้จอมโหด

ปัญหาหลักของผู้เป็นหนี้นอก จากต้องหาเงินมาชำระเจ้าหนี้แล้ว ระบบการทวงหนี้ที่ก่อให้เกิดความอับอายก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สร้างความ ทุกข์ให้กับลูกหนี้   มีทั้งการส่งแฟกซ์มาจะประจานที่ทำงาน หรือโทรศัพท์ไปทวงหนี้ที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งมีการข่มขู่ให้ชำระหนี้โดยเร็ว
การตามทวงหนี้โหด
 ทวงแบบไม่สุภาพ พูดเหมือนคุณเป็นขี้ข้าคนทวงหนี้
 ทวงไปถึงคนที่มีชื่ออ้างอิงในตอนสมัคร หรือตอนทำสัญญาปรับปรุงหนี้
 ทวงไปถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้องที่ต่างจังหวัด

 ทวงโดยฝากคำพูดกับผู้รับโทรศัพท์เวลาเราไม่อยู่ที่ทำงาน
 ส่งแฟกซ์เข้าที่ทำงานประจานให้คนรับแฟกซ์เห็น และส่งวันหนึ่งหลาย ๆ ครั้ง จนคุณถูกเจ้านายเรียกไปตักเตือน
 ส่งไปรษณียบัตรไปที่บ้าน 
 ส่ง จดหมายขู่สารพัดจากบริษัททนายตัวแทนสถาบันการเงินต่าง ๆ แม้กระทั้งทำเอกสารเลียนแบบหมายศาล และขู่ว่าจะอายัดเงินเดือน จะถูกดำเนินคดีอย่างร้ายแรงภายใน 3 วัน 7 วัน
ฯลฯ

 ลูกหนี้หลายคนเมื่อถูกกดดันด้วยวิธีเหล่านี้ ก็จะเกิดความเครียดไม่เป็นอันทำการทำงาน บางคนถึงกับคิดสั้นฆ่าตัวตายเพื่อหนีหนี้        ในทางกฎหมายแล้วเมื่อลูกหนี้ผิด นัดชำระหนี้ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้เจ้าหนี้ฟ้องเรียกชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยทางศาล ได้ เมื่อมีคำพิพากษาแล้วจึงบังคับใช้หนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้ แต่การฟ้องร้องอาจล่าช้า มีค่าใช้จ่ายสูง หรือเห็นว่าดอกเบี้ยที่ตนเรียกเก็บอยู่นั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้บริษัทเครดิตสินเชื่อหันไปใช้วิธีการจ้างนักทวงหนี้ทั้งแบบบุคคลหรือ สำนักงานกฎหมายเพื่อติดตามทวงหนี้แทน
      การทวงหนี้แบบนี้ ค่าจ้างจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนหนี้ที่ทวงได้ จึงเป็นต้นเหตุให้มีการใช้ทุกวิธี สารพัดรูปแบบทั้งถูกกฎหมายหรือไม่ถูกต้องเพื่อบีบคั้นให้ลูกหนี้จ่ายคืนหนี้ กลายเป็นทุกข์อันดับต้น ๆ ที่ลูกหนี้ประสบอยู่ในปัจจุบัน
        การทวงหนี้ที่ ใช้พฤติกรรมตัวอย่างเช่น เขียนจดหมายข่มขู่ด้วยวาจาหยาบคายหรือเป็นเท็จ ทำร้ายร่างกาย ด่าทอ กักขัง ทำการรบกวนชีวิตประจำวัน เป็นต้น หากกระทำต่อลูกหนี้หรือสมาชิกในครอบครัว เพื่อน บรรดาผู้ถูกทวงหนี้มีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มคนเหล่านั้นได้ทันที ถ้ามีการทำร้ายบาดเจ็บหรือกักขังหน่วงเหนี่ยว พวกเขาต้องรับโทษอาญาฐานทำร้ายร่างกายหรือทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพอีกคดี หนึ่งด้วย
         ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 บัญญัติว่า ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ ยอมให้ หรือ ยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่า จะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือ ของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำผิดฐานกรรโชก มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
         ถ้า ความผิดฐานกรรโชกได้กระทำโดย ขู่ว่าจะฆ่า ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายให้ผู้ถูกข่มขืนใจ หรือผู้อื่น ให้ได้รับอันตรายสาหัส หรือขู่ว่าจะทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือมีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ ผู้กระทำต้องมีโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
          ส่วน การส่งคำเตือนเรื่องหนี้ด้วยวิธีก้าวร้าวหรือจงใจประจานทำให้เสื่อมเสียชื่อ เสียงด้วยวิธีใดๆ อาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทได้ และในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 323 ผู้ใดล่วงรู้หรือได้มาซึ่งความลับของผู้อื่น แล้วเปิดเผยความลับนั้น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
           การ กู้เงินเป็นเรื่องส่วนตัว การข่มขู่หรือการนำความลับของลูกหนี้ไปเปิดเผยแก่บุคคลอื่นจึงเป็นความผิด ทั้งทางแพ่งและอาญา ลูกหนี้ที่เจอกับการทวงหนี้ลักษณะเช่นนี้ให้สอบถามรายละเอียดว่าเจ้าหน้าที่ คนนั้นชื่ออะไร ทำงานอยู่ที่บริษัทไหน ขอเบอร์โทรกลับ และแจ้งถึงความผิดที่เขาได้กระทำอยู่และสิทธิของคุณที่จะดำเนินการตามกฎหมาย
วิธีรับมือเมื่อถูกทวงหนี้แบบถ่อย ๆ
เหตุเกิดในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ณ โต๊ะทำงานของลูกหนี้(คุณ A) หลังเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

e – bad : สวัสดีครับขอสายคุณ A (เสียงยังเพราะอยู่)
คุณ A : ค่ะกำลังพูด จากไหนคะ
e – bad : จาก e – bad ครับ( ไม่ยอมบอกชื่อ) ไม่ทราบว่าค่างวดเดือนที่แล้วยังไม่ได้ชำระใช่ไหม
พรุ่งนี้ชำระให้ด้วยนะครับ
คุณ A : ยังชำระให้ไม่ได้หรอกค่ะ เอาไว้สิ้นเดือนชำระทีเดียว 2 งวดเลยก็แล้วกัน
e – bad : แค่งวดเดียวยังไม่มีเลยแล้วเดือนหน้าจะมีเหรอ (เริ่มเสียงแข็ง)
คุณ A : ก็เดี๋ยวเดือนหน้าพอเงินเดือนออกจะรีบจ่ายให้เดือนนี้ไม่พอจริง ๆ
e – bad : ก็ไปยืมใครมาก่อนสิ เป็นหนี้ก็ต้องจ่ายจะโกงเหรอ เงินเดือนออกวันไหน
คุณ A : (เงียบ)
e – bad : คุณ A เงียบทำไม เป็นหนี้ เมื่อไหร่จะใช้ …. วันนี้ถ้าไม่จ่าย ผมจะไปพบเจ้านายที่ทำงานคุณ
คุณ A ทำไมไม่พูด ปากอมอะไรไว้เหรอ
คุณ A : เรื่องจดหมาย ทำไมต้องส่งมาที่ทำงานด้วย
e – bad : ทำไมอายหรือ เสียหน้าใช่ไหม แล้ว นางสุชินกับนายสมบูรณ์ (ชื่อพ่อแม่) ทำมาหากินอะไร
ไม่มีปัญญาช่วยลูกใช้หนี้หรือ "
คุณ A : นี่คุณเกี่ยวอะไรกับพ่อ แม่ฉัน ฉันเป็นหนี้ก็คุยกับฉันสิ
e – bad : เอางี้ หน้าตาคงดี เดี๋ยวให้เพื่อนมารับไปกินข้าวแล้วกัน จะได้ มีเงินใช้หนี้นะ
คุณ A : ตู๊ด ด…….
ถ้าคุณเจอเหตุการณ์แบบนี้ จะมีวิธีรับมืออย่างไร 
     1. ก่อนอื่น ต้องตั้งสติให้ดี ทำจิตใจให้มั่นคง ว่าคุณเป็นหนี้จริง แต่เขาไม่มีสิทธิมาพูดจาก้าวร้าว หรือข่มขู่ ด้วยวาจาหยาบคาย
     2. สอบถามชื่อ – สกุล ของคนที่เราคุยด้วย พร้อมเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อ โดยเฉพาะเบอร์ของสำนักงาน เพื่อที่จะได้เป็นหลักฐาน หากมีการพูดจาข่มขู่ หยาบคาย ถ้าเขาไม่แจ้งชื่อ เบอร์โทรศัพท์ คุณก็ไม่ควรที่จะคุยกับเขาต่อไป
     3. หากอ้างว่าเป็นทนายความ สอบถามชื่อ –สกุล และ เลขหมายใบอนุญาตให้เป็นทนายความ เพื่อร้องเรียนสภาทนาย หากมีการประพฤติผิดมารยาททนายความ
     4. เป็นสิทธิของคุณที่จะไม่ตอบคำถาม ที่คุณไม่ต้องการตอบ เขาไม่มีสิทธิบังคับให้คุณพูด
     5. การทวงหนี้กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกหนี้ เช่น พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าด้วยการส่งเอกสารเปิดผนึกโทรศัพท์ หรือส่งแฟกซ์มาที่ทำงาน โทรถือว่าเป็นการประจานลูกหนี้ให้ได้รับความอับอาย เข้าข่ายหมิ่นประมาท สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้
     6. ความผิดอาญาฐานกรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 บัญญัติว่า ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่า จะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือ ของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำผิดฐานกรรโชก มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท คุณสามารถแจ้งความดำเนินคดีได้เลย หากการทวงหนี้มีลักษณะเช่นว่านี้
     7. เก็บเอกสารทุกชิ้นที่สำนักงานทวงหนี้ส่งถึงคุณ และหากเป็นไปได้อัดเทปเสียงการสนทนา เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานในการจัดการกับพวกทวงหนี้ที่ละเมิดสิทธิ
     8. หากคุณเป็นหนี้บริษัทสินเชื่อที่คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ร้อยละ 15 ต่อปี อย่ากลัวกับคำขู่ที่ว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดี เพราะหากมีการฟ้องร้องดำเนินคดีจริง ดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 50 –60 อย่างที่โดนขูดรีดอยู่ ศาลถือว่าผิดกฎหมาย เป็นโมฆะ และเป็นเหตุผลว่าทำไม พวกทวงหนี้นี้ถึงเอาแต่ขู่ ไม่ฟ้องศาลดำเนินคดีตามกฎหมายสักที
     9. เปิดใจพูดความจริงให้คนรอบตัวคุณไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ พี่น้อง ภรรยา สามี หรือเจ้านาย เพื่อนร่วมงานทราบถึงสถานการณ์ปัญหาที่แท้จริง เพื่อเตรียมรับมือกับการทวงหนี้แบบโหด ๆ ที่จะเกิดขึ้น
     10. พวกทวงหนี้ ไม่มีสิทธิมาเก็บเงินในที่ทำงานคุณ ถ้าคุณไม่อนุญาต และทางที่ดี คุณควรคุยทำความเข้าใจกับพนักงานรักษาความปลอดภัยในที่ทำงานทราบล่วงหน้า ว่าหากพวกทวงหนี้บุกมาเก็บเงินถึงที่ทำงาน เข้าข่ายความผิดฐานบุกรุก
     11. หากมีโทรศัพท์ทวงหนี้มาที่ทำงาน ให้คุยสั้น ๆ กระชับ โดยย้ำว่าหากไม่หยุดโทรมารบกวนเวลาทำงาน ก็จะไม่ชำระหนี้รายนี้
     12. หากมีการเจรจาตกลงประนอมหนี้ อย่าเพิ่งจ่ายเงิน จนกว่าจะได้รับเอกสารยืนยันข้อตกลงจากเจ้าหนี้ เพราะบางครั้งจ่ายเงินไปแล้ว เจ้าหนี้อ้างว่าไม่รู้เรื่องการประนอมหนี้ดังกล่าว และที่สำคัญควรชำระหนี้โดยโอนเงินเข้าบัญชีของเจ้าหนี้เท่านั้น ไม่ควรชำระเป็นเงินสดให้กับพวกทวงหนี้
     นี่ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิธีรับมือกับการทวงหนี้แบบแย่ ๆ ยังมีคำแนะนำอีกมาก ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัญหาของคุณ 

ขอบคุณข้อมูลเด็ดๆจาก  http://debtclub.consumerthai.org

แฉ! มุกใหม่แบงค์ปลอม รู้ไว้ก่อนตกเป็นเหยื่อ

วันก่อนไปกินข้าวกับเพื่อนที่ร้านเล็ก ๆ ริมถนนใน จ.ปราจีนบุรี ไปกินกัน 5 คน กินเสร็จก็สั่งเก็บเงิน ยอมรวม 280 บาท เพื่อนผมจ่ายแบงค์ 1,000 บาทให้ไป แม่ค้าก็รับไปแล้วเดินไปจะทอนเงิน สักพักเดินกลับมาโวยวายว่า แบงค์ 1,000 บาท ที่จ่ายให้ไปนั้น เป็น "แบงค์ปลอม" แม่ค้าตะโกนว่าโต๊ะผมเสียงดังมาก แล้ววางแบงค์ปลอม 1,000 บาท ลงบนโต๊ะ ตอนนั้นคนในร้านมีอยู่ 3 – 4 โต๊ะ ก็เริ่มมอง ๆ มาที่โต๊ะผม
 
เพื่อนผมเพิ่งจะกดเงินมาจากตู้เอทีเอ็ม เป็นแบงก์ใหม่หมด เลขในแบงค์ก็เรียงกัน แต่ใบที่แม่ค้าเอามาวางคืนให้เป็นแบงค์เก่า ก็เลยเถียงกันไปเถียงกันมา แม่ค้าก็ยังไม่ยอม เพื่อนผมมันจึงแกล้งบอกว่า จำเลขในแบงค์ได้ แม่ค้าก็ไม่ยอม
 
พอดีมีสายตรวจมาซื้อของที่ร้านข้าง ๆ ก็เลยเดินไปเรียกตำรวจมา บอกให้ช่วยค้นตัวแม่ค้า ดูว่า มีแบงค์ 1,000 บาท ใบอื่นหรือไม่ แม่ค้าไม่ยอมให้ค้นตัว แต่เดินไปหยิบทอนมาให้ 800 บาท ( ทอนเกิน ) แล้วบอกตำรวจว่า ไม่มีอะไร (ไม่ยอมโวยวาย) 
 
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนะครับ อยากจะเตือนทุกคนให้ระมัดระวังมุกใหม่นี้ด้วย จ่ายแบงค์ 1,000 บาทจริง แต่ถูกหาว่าเป็นแบงค์ปลอม ทางที่ดีก่อนจ่ายแบงค์ 1,000 บาท ควรจำหมายเลขในแบงค์ไว้บ้างนะครับ เพื่อความปลอดภัย
 
 
ขอบคุณข้อมูลจาก ; kapook.com

ทบ.ปรับอายุรับสมัครนักเรียนรด.เข้าศึกษาวิชาทหารต้องอายุ17ปีขึ้นไป ตามอนุสัญญายูเอ็นว่าด้วยสิทธิเด็ก

     เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2555 พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบกเปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงกลาโหมได้ให้กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ เกี่ยวกับพิธีการเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เรื่องความเกี่ยวพันของเด็กในความขัดแย้งกันด้วยกำลังอาวุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามมีการฝึกใช้อาวุธแก่บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี 

ดังนั้นเพื่อเป็นการสนับสนุนข้อเสนอดังกล่าว หน่วยบัญชาการรักษาดินแดนจึงได้ปรับหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครเป็นนักศึกษาวิชาทหารใน ปีการศึกษา 2555 โดยที่ผ่านมาจะรับผู้จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผ่านเกณฑ์การทดสอบร่างกายและมีผลการเรียนตามที่กำหนด อายุไม่เกิน 22 ปี 

ในปีนี้จะรับสมัครนักเรียน/นักศึกษาเข้าเป็นนักศึกษาวิชาทหาร (รด.)ชั้น ปีที่ 1 เฉพาะผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่าขึ้นไป ที่มีอายุ 17-22 ปีบริบูรณ์ คือ ผู้ที่เกิดปี พ.ศ. 2538-2533 เป็นลำดับแรก หากมีจำนวนผู้สมัครไม่เพียงพอจึงจะรับผู้ที่อายุ 16 ปีบริบูรณ์ คือผู้ที่เกิดในปี พ.ศ. 2539 เป็นลำดับถัดไป 

ทั้งนี้จะไม่รับสมัครผู้ที่มีอายุ 15 ปี ซึ่งเป็นเกณฑ์อายุนักเรียนที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 นอกจากการปรับคุณสมบัติด้านอายุของผู้สมัครแล้วหน่วยบัญชาการรักษาดินแดนยัง ปรับหลักสูตรการเรียนการฝึกของนักศึกษาวิชาทหารให้สอดคล้องกับข้อเสนอของคณะ กรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติดังกล่าวด้วย 

ขณะนี้การรับสมัครและรายงานตัวเข้าฝึกวิชาทหารของนักศึกษาวิชาทหารในส่วนกลาง ได้เริ่มดำเนินการแล้วระหว่าง 21 พ.ค. – 22 มิ.ย.2555 


สำหรับผู้ที่ต้องการคำแนะนำหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมดูรายละเอียดที่ www.ruksadindan.com

กทม.เตรียมทุบ BTS ตากสิน ทำรางคู่

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร บริเวณสถานีสะพานตากสิน ซึ่งบริเวณสถานีนี้ มีปัญหาความล่าช้าในการเดินรถ เนื่องจากรถไฟฟ้าต้องหลีกทางให้ก่อนถึงสถานี เนื่องจากเป็นระบบรางเดียว

โดย ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การแก้ปัญหาในเรื่องนี้ ทาง กทม. จะมีการยกเลิกสถานีสะพานตากสิน และใช้ตัวสถานีก่อสร้างเป็นรางคู่ เพื่อให้การบริการที่รวดเร็วขึ้น ส่วนบริเวณจำหน่ายตั๋วจะมีการก่อสร้างทางเดินเลื่อนอัตโนมัติไปยังสถานีสุ รศักดิ์ ระยะทาง 700 เมตร ซึ่งเชื่อมต่อกับท่าเรือสะพานสาทร ที่มีผู้เดินทางเป็นจำนวนมาก โดยผู้โดยสารที่เคยขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีสะพานตากสิน จะต้องไปขึ้นที่สถานีสุรศักดิ์แทน ทั้งนี้ หลังจากนี้ จะขยายการเดินรถไปถึงสถานีตลาดพลู ในเดือนธันวาคมนี้ และสถานีบางหว้าในเดือนสิงหาคม 2556 ซึ่งจะรองรับผู้โดยสารได้วันละ 100,000 คน/วัน หากไม่ก่อสร้างระบบรางคู่อาจจะทำให้เกิดความล่าช้าขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับการก่อสร้างระบบรางคู่และทางเลื่อนอัตโนมัตินี้ ทางสภา กทม. ได้มีความเห็นชอบโครงการแล้ว โดยจะใช้งบประมาณทั้งสิ้น 670 ล้านบาท ซึ่งทาง กทม. จะเสนอเรื่องไปที่กระทรวงมหาดไทย และหากกระทรวงเห็นชอบ ก็จะเริ่มทำงานทันที


ขอบคุณข่าวจาก : INN

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

5 สุดยอดเมืองหลอนห้ามเข้า ที่น่ากลัวสุดในโลก

หลายครั้งที่เรามักจะต้องสงสัยว่าทำไมเมืองบางเมือง หรือเขตบางเขตในประเทศต่างๆ มักมาพร้อมคำเตือนว่าเป็นสถานที่ "ต้องห้าม" หรือ "ห้ามเข้า" ซึ่งเชอร์โนบิล ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในห้าพื้นที่ห้ามเข้าที่น่ากลัวที่สุดในโลกด้วย

มาทำความรู้จักกับทั้ง "สถานที่ร้างห้ามเข้า" ทั้ง 5 ที่ติดอันดับเสียงร่ำลือว่าน่ากลัวที่สุดในโลกจนไม่มีใครคิดไปเหยียบ!
อันดับ 5 เมืองออราดูร์-ซู-แกลน ประเทศฝรั่งเศสเมืองร้างที่โดนทำลายย่อยยับโดยกองทัพของเยอรมนีในปี ค.ศ.1944 มีชาวบ้านถูกฆ่าตายที่นี่อย่าง โหดเหี้ยมไปถึง 642 ศพ แม้ปัจจุบันจะมีการสร้างเมืองนี้ขึ้นมาใหม่ แต่ที่นี่ก็ยังคงขึ้นชื่อเรื่องของอาถรรพ์ความเฮี้ยนจนไม่มีใครกล้าย่างกราย เข้าไป

อันดับ 4 เมืองเซ็นทราเลีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
เมืองที่เคยได้ชื่อว่าอุดมไปด้วยเหมืองแร่ถ่านหิน แต่หลังจากที่ในปี 1962 ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเมื่อจู่ๆ เปลวไฟเกิดประทุขึ้นมาจากเหมืองที่อยู่ใต้ดินอย่างรุนแรง จนทำให้สภาพอากาศของเมืองนี้ร้อนระอุ และถูกปกคลุมด้วยหมอกควันอยู่ตลอดเวลา และจนถึงปัจจุบันเปลวไฟจากใต้ดินก็ยังคงปะทุอยู่อย่างต่อเนื่อง

อันดับ 3 เมืองคราโค่ ประเทศอิตาลี
เมืองในยุคกลางของอิตาลีที่สร้างขึ้นบนเนินเขา ในฐานะเมืองหน้าด่านสำคัญ แต่เมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่หลายครั้งติดกัน ทำให้ผู้คนเสียชีวิตไปมากมาย และเสียหายเกินกว่าที่จะได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่

อันดับ 2 เมืองซางจี ประเทศไต้หวัน
ดีไซน์การออกแบบอันสุดพิลึกพิลั่นซึ่งเกิดอุบัติเหตุระหว่างก่อสร้างที่คร่า ชีวิตคนงานไปหลายคนจนถึงกับต้องหยุดการก่อสร้างไปหลายครั้ง หรือกระทั่ง เหตุการณ์สุดประหลาดที่มีคนอ้างว่าเห็นส่วนต่างๆ ของบ้านเคลื่อนไหวไปมาได้เองชวนขนลุก

อันดับ 1 เมืองพริเพียต ประเทศ ยูเครน (รัสเซีย ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์)
นี่คือเมืองที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมช็อคโลกที่เรียกได้ว่า รุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งใน ประวัติศาสตร์โลก นั่นคือการระเบิดของ "เชอร์โนบิล" โรงงานนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ ที่นำหายนะครั้งใหญ่มาสู่สิ่งมีชีวิตที่ตกป็นเหยื่อทั้งสังเวยชีวิต ป่วยเป็นโรคมะเร็ง กลายพันธุ์ผ่าเหล่า หรือพิการเพราะอวัยวะที่ใหญ่ผิดขนาด และไม่ใช่เพียงแค่ผลกระทบทางชีวภาพ แต่ยังมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่เล่าต่อกันมา ทั้งความรู้สึกที่เหมือนถูกจ้องมองตลอดเวลา เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลืออย่างไร้ที่มาที่ไป เงาของชายลึกลับที่หลายคนพบเห็น
 CHERNOBYL DIARIES เชอร์โนบิล ไดอารีส์
เผย 4 ความจริง สุดช็อค!
ที่ทำให้ "เชอร์โนบิล" กลายเป็นสถานที่ "ห้ามเข้า" ที่น่ากลัวที่สุดในโลก
เอ่อ...เพื่อนๆ ครับ...บทความข้างล่างนี้ขอแถมหน่อยนะเพื่อนๆ คือว่าเป็นหนังเรื่อง Chernobyl Diaries เชอร์โนบิล ไดอารี่ส์ หนังสยองขวัญที่จะพาคุณไปร่วมลองของ ณ สถานที่ได้ชื่อว่า "น่ากลัวที่สุดในโลก" บนดินแดนแห่งหายนะที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังจากเกิดอุบัติเหตุของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เมื่อ 26 ปีก่อน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย และอีกนับแสนคนได้รับผลกระทบ จากผลงานการอำนวยการสร้างของ ออเรน เพลี ผู้ให้กำเนิดหนังสุดหลอนอย่าง Paranormal Activity ที่สร้างปรากฏการณ์กวาดรายได้ถล่มทะลายมาแล้วทั่วโลก ซึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาเขียนบทขึ้นมา มาจากเรื่องจริงสุดสะพรึงจากเชอร์โนบิล อาทิ
(1) ผลจากการระเบิดของโรงงานนิวเคลียร์แห่งนี้ ทำให้กว่า 4,000 ชีวิต ต้องเสียชีวิต กว่า 300,000 ชีวิต ต้องอพยพไปตั้งรกรากที่อื่น และอีกกว่า 600,000 ชีวิต มีสารกัมมันตภาพรังสีในร่างกาย และส่งผลให้รูปร่างผิดปกติ พิกลพิการ จนแทบจะไม่เหลือเค้ามนุษย์
(2) ปริมาณกัมมันตภาพรังสีที่ระเบิดออกมาของเชอร์โนบิล รุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่ถล่มเกาะฮิโรชิม่าในสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง 4 เท่า! และอาจต้องใช้เวลาถึง 24,000 ปี กว่าที่ผู้คนจะกลับมาอาศัยอยู่ได้อย่างปลอดภัย
(3) กัมมันตภาพรังสีส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่เหลือเชื่อ อย่างที่เคยมีผู้พบเห็นนกสายพันธุ์ประหลาดในเขตใกล้กับเชอร์โนบิล หรือที่เรียกว่า "Black Bird of Chernobyl" นกขนสีดำสนิทขนาดยักษ์ มีรัศมีของปีกกว้างถึง 20 ฟุต ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครเห็นนกสายพันธุ์นี้มาก่อน
(4) คนที่เคยลักลอบเข้าไปสำรวจซากพื้นที่ส่วนต่างๆ ของเชอร์โนบิล ต่างเคยเจอประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่ชวนขนลุกในหลายระดับ เช่น ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองตลอดเวลา ได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือที่ไร้ที่มา พบเห็นเงาของชายลึกลับที่หลายคนพบเห็น และพูดถึงรูปร่างลักษณะตรงกัน จนถูกเรียกว่า "Slender Man" บ้างก็พบซากตุ๊กตาเด็กผู้หญิงที่ตั้งอยู่ในส่วนต่างๆ ของเชอร์โนบิลอย่างตั้งใจราวกับมีคนมาจัดวางไว้
เรื่องเล่าขานและตำนานแห่งเชอร์โนบิลยังมีอีกมากมาย หากคุณกล้าพอเราขอชวนมาลองของกันกับ Chernobyl Diaries เชอร์โนบิล ไดอารี่ส์ ซึ่งเล่าเรื่องราวของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันที่เดินทางเที่ยวทั่ว ยุโรป ก่อนที่ความคึกคะนองจะทำให้พวกเขาจ้างไกด์เถื่อนให้พาเข้าไปในพริเพียตเมือง ที่เป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล ซึ่งกลายเป็นเขตหวงห้ามหลังจากเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อ 26 ปีก่อน หลังจากพวกเขาได้สำรวจเมืองร้างแห่งนี้ ทั้งหมดก็พบว่าตัวเองกำลังถูกจับตามอง และค้นพบว่าพวกเขาอาจจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเดียวที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้
พิสูจน์ความกล้า ท้าความตาย
CHERNOBYL DIARIES
14 มิถุนายน นี้

'Chernobyl Diaries' Trailer


วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เด็กอินเดียอายุ 16 ปี อธิบายทฤษฎี “ไอแซก นิวตัน” ที่เป็นความลับมากว่า 350 ปี

เด็กหนุ่มอินเดียชื่อ โชไรยา เรย์ สามารถไขปริศนาคณิตศาสตร์ ของ ไอแซก นิวตัน ที่ไม่เคยมีผู้ใดทำได้มากว่า 350 ปี สำเร็จ

สำนักข่าวต่างประเทศหลายฉบับ รายงานเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ว่า โชไรยา เรย์ (Shouryya Ray) นักเรียนหนุ่มชาวอินเดีย วัย 16 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองเดรสเดน ของเยอรมนี สามารถไขปริศนาทางคณิตศาสตร์ ที่เคยสร้างความสับสน ต่อวงการคณิตศาสตร์ มานานกว่า 350 ปี ซึ่งเซอร์ ไอแซก นิวตัน นักฟิสิกส์ ระดับโลกชาวอังกฤษ ได้ตั้งไว้ ด้วยการถอด 2 ทฤษฎีสำคัญ ว่าด้วยเรื่องอนุภาค แรงและพลังงาน โดยใช้ความสามารถทางคอมพิวเตอร์

เรย์ เพิ่งเริ่มไขปริศนาคณิตศาสตร์ดังกล่าว ในช่วงที่เขาเดินทางไปทัศนศึกษาของมหาวิทยาลัยเดรสเด้น ซึ่งอาจารย์บอกว่า เป็นปริศนาที่ไขไม่ออก แต่เรย์กลับไม่เชื่อว่าจะไม่มีข้อสรุป เขาจึงพยายามแก้ปริศนานี้ให้ได้ และสำเร็จในที่สุด ซึ่งจากการไขปริศนาดังกล่าว เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะบุคคล แต่เขากลับปฏิเสธที่จะได้รับการกล่าวยกย่องเช่นนี้ เนื่องจากตอนเด็กๆ ตั้งแต่ 6 ขวบ เป็นต้นมา เรย์ก็เริ่มถอดสมการยากๆ มาตลอด

สำหรับการถอดปริศนาของเรย์ ทำให้นักวิทยาศาตร์สามารถคำนวณการเคลื่อนที่ของทิศทางลูกบอลที่ถูกขว้างออก ไป และทำนายว่า มันจะกระทบกับกำแพงอย่างไร และเด้งออกมาจากกำแพงอย่างไร
ทั้งนี้ โชไรยา เรย์ ย้ายมาจากเมืองโกลกาตา สาธารณรัฐอินเดีย มาศึกษาต่อที่เยอรมนี เมื่อ 4 ปี ก่อน โดยพ่อของเขาซึ่งเป็นวิศวกรได้มาทำงานอยู่ที่นี่ โดยตอนแรกเขาไม่รู้ภาษาเยอรมันเลย แต่ตอนนี้กลับสามารถใช้ภาษาเยอรมันอย่างชำนาญ และได้รับการเลื่อนชั้นการเรียนขึ้น 2 ปีในทันที ซึ่งเจ้าตัว มักจะกล่าวอย่างถ่อมตนว่า เขามีจุดอ่อนในหลายเรื่องในฐานะนักคณิตศาสตร์ และบอกว่าแม้เขาจะเก่งคณิตศาตร์แต่ด้อยในการเล่นกีฬายิ่งนัก


ขอบคุณข้อมูลจาก มติชน

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กระชากหน้ากาก!!! เลดี้ กาก้า นักร้องสุดแรง-แต่งตัวหลุดโลก จริงๆ แล้วเธอเป็นอย่างไร ?

เลดี้ กาก้า เป็นชื่อในวงการบันเทิง ของนักร้องสาวแนวอีเล็คทรอนิก ชาวอเมริกัน ที่กำลังโด่งดังเป็นพลุเแตกและตกเป็นข่าวตามหน้าสื่อแท็ปลอย์อยู่แทบทุก วี่วัน เพราะนอกจากผลงานเพลงที่แปลกหูและเมามัน ฟังแล้วเต้นกันกระจาย เธอยังสามารถดึงความสนใจจากสื่อได้ตลอดเวลา เพราะนักสาวสาววัย 26 ปีคนนี้ มีแนวการแต่งตัวที่แหวกแนวสุดๆ ทั้งเสื้อ ผ้า หน้าและผม ชนิดคนดังคนอื่นที่ว่าแต่งตัวจัดจ้านแล้ว ยังต้องชิดซ้ายยกธงขาวยอมแพ้
หลายคนคงสงสัยว่าตัวจริงของ เลดี้ กาก้า นั้น เป็นยังไงกันแน่ เพราะการที่แต่งแต้มเยอะเกินไป จนเสมือนปกปิดตัวตนของตัวเองไว้ตลอดเวลา แต่วันนี้จะได้หายสงสัยกันแล้ว จะช่วยเฉลยให้ว่า เธอคนนี้จริงๆ แล้ว หน้าตาก็เหมือนผู้หญิงฝรั่งธรรมด๊าธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง
ภาพข้างบนคือภาพของหญิงสาววัยรุ่นปกติๆ คนหนึ่ง มัดผมยาวสีเข้มเป็นหางม้า ไม่มีการแต่งหน้า ไม่มีการทำอะไรให้ผิดจากธรรมชาติของตัวเองเธอ ดูเผินๆ แล้ว ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่ผู้หญิงคนนี้นี่แหละ คือ ตัวจริง เลดี้ กาก้า ที่มีชื่อจริงว่า โจแอนน์ สเตฟานี เจอร์มาน็อตตา

จากภาพความบ้าบิ่นของเธอที่โผล่ออกมาตามสื่อ อาจทำให้คิดว่า เลดี้ กาก้า เป็นเพียงนักร้องแรงๆ แต่งตัวแรงๆ และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่ขอบอกว่าก่อนที่เธอจะเป็น เลดี้ กาก้า นั้น ผู้หญิงที่ชื่อ โจแอนน์ คนนี้เป็นเหมือนอีกคนนึง ที่เรียบร้อย แถมยังเรียนสูงอีกด้วย

แล้วที่ไม่น่าเชื่อที่สุด!! คือได้ยินมาว่า เลดี้ กาก้า สวดสรรเสริญพระเยซูทุกวัน สนใจอ่านเขียนเกี่ยวกับปรัชญา ชอบอ่านบทกลอนและรักการฟังเพลงของ บีโธเฟ่น (ไม่อยากจะเชื่อ!!!!!)

เมื่อได้รู้ว่าขนาดนี้แล้ว อยากถามนิดหนึ่งว่า เธอฉลาดเกินไปที่จะเป็นนักร้องดังหรือไม่ แต่ที่ไม่ต้องสงสัยเลยแน่ๆ เธอสามารถเอ็นเตอร์เทนผู้คนมิตรรักแฟนเพลงได้เก่งมากๆ !!! ............ขอชมจากใจจริง
  
12 Things You Must Know about Lady Gaga (Mix MAGAZINE) 12 สิ่งที่คุณควรรู้ เกี่ยวกับ เลดี้ กาก้า 

          Mix เคยเขียนถึงเรื่องราวของสาวเปรี้ยวเข็ดฟันคนนี้ เลดี้ กาก้า กันไปแล้วครั้งหนึ่ง แค่เนื่องจากเธอดังจริงและดีจริงเรียกว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีใครเป็นกระแสได้เท่ากับเธอคนนี้ เพราะฉะนั้นนี่คือ 12 สิ่งที่คุณควรจะรู้เกี่ยวกับเธอคนนี้ ที่ว่ากันว่าคือมาคอนน่าคนใหม่ รู้ไว้จะได้ไม่ตกเทรนด์ครับ

          1. ก่อนหน้าที่จะเป็นนักร้องโด่งดังระดับโลกขนาดนี้ เธอเป็นนักแต่งเพลงมาก่อน คนที่เห็นความสามารถในการร้องเพลงของเธอก็คือแร็พเพอร์ผิวสี Akon นั่นเอง เขาเลยจับเธอเซ็นสัญญาณเขาสังกัดของเขาเอง

          2. เพลงที่เธอแต่งนั้นไม่ใช่ของศิลปินโนเนม แต่เป็นศิลปินแถวหน้าอย่าง New on the Block, Fergie, Pussycat Dolls

          3. ปี 2010 นี้ เธอเพิ่งจะมีอายุเพียง 24 ปีเท่านั้น แต่กลับเป็นเจ้าของ 6 รางวัลแกรมมี่ และยอดขายกว่า 35 ล้านซิงเกิ้ลทั่วโลก ไม่ธรรมดาครับ

          4. ชื่อ จริง ๆ ของ เธอคือ Stefoni Germanotta ส่วนชื่อ Lady Gaga นั้นมาจากเพลง Radio Ga Ga ของคณะ Queen ที่โปรดิวเซอร์ของเธอเป็นคนตั้งให้ โดยเขาตั้งใจจะพิมพ์คำว่า Radio Ga Ga แต่มือถือเจ้ากรรมดันมีระบบสะกดคำอัตโนมัติ ก็เลยแก้ไขคำให้จาก Radio เป็น Lady และแล้วจากวินาทีนั้น Lady Gaga ก็กำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้

          5. เห็นเปรี้ยวซ่าขนาดนี้ แต่เธอบอกว่าอิทธิพลทางดนตรีของเธอนั้นมาจากศิลปินรุ่นเก๋าอย่าง Queen และ David Bowie

          6. มิวสิควิดีโอเพลง Lovegame ของเธอนั้นถูกแบนใบออสเตรเลีย เนื่องจากมีภาพที่ล่อแหลมทางเพศเกินไป (แต่หาดูได้ใน Youtube ครับ)

         7. หลาย ๆ เพลงในอัลบั้มดังอย่าง The Fame ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความรักที่มีอันต้องพังทลายระหว่างเธอกับมือกลองวงเฮ ฟวี่เมทัลวงหนึ่ง

          8. เมื่อต้นปี 2010 เธอประกาศว่า เธอกับ Polaroid กำลังร่วมงานกันอยู่ โดยเธอจะผลิตแฟชั่นเทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับรูปถ่าย เธอยังบอกอีกว่าเธอจะสร้างกระแสให้กล้องสำเร็จรูปกลับมาเป็นที่นิยมในอนาคต อีกครั้ง

          9. กับกระแสที่บอกว่าเธอเป็นผู้หญิงหรือกระเทยกันแน่ เธอยืนยันว่าเธอคือผู้หญิง อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่าเธอชอบที่จะมีบุคลิกทั้งของเพศชายและเพศหญิงรวมอยู่ในร่างเดียวกัน แบบนี้ เหมือนอย่างที่ต้นแบบของเธอ Freddie Mercury และ David Bowie เป็น

          10. เธอมีรอยสักอยู่ 6 รอย หนึ่งในนั้นเป็นเครื่องหมายสันติภาพ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากฮีโร่ทางดนตรีอีกคนอย่าง John Lennon

          11. เวลาที่เธอแต่งเพลง เธอบอกว่าในหัวเธอจะนึกไปด้วยว่าเพลงนี้เธอจะแต่งตัวอย่างไรบนเวที อาร์ตไดเร็คชั่นจะเป็นอย่างไร โดยเธอมีทีมโปรดัคชั่นที่คอยดูแลเรื่องแฟชั่นให้เธอโดยเฉพาะ ใช้ชื่อว่า Haus of Gaga

          12. ความจริงแล้วเธอมีผมสี Brunette (น้ำตาล ค่อนไปทางคำ) แต่ที่ต้องย้อมผมเป็นสีบลอนด์ก็เพราะมีคนสับสนระหว่างเธอกับ Amy Winehouse



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

 

กทม. ติดอันดับ 1 คนเล่นเฟซบุ๊กมากที่สุดในโลก

บริษัทวิเคราะห์สังคมออนไลน์ที่มีชื่อเสียงในระดับสากล “โซเชียลเบเกอร์” รายงานผลการสำรวจผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ “เฟซ บุ๊ก” พบว่า ในกรุงเทพฯมีผู้ใช้ 8,680,000  คน มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกตามมาด้วยกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย 7,430,000 คน เป็นอันดับ 2 และ เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี 7,070,000 คน อยู่ในอันดับที่ 3

ดังนั้น กรุงเทพฯ ของไทยจึงสามารถเอาชนะเมืองใหญ่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล กรุงเม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโก เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย นครนิวยอร์กและนครลอสแอนเจลิสของสหรัฐ เป็นต้น

ส่วนเมืองอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ติดอยู่ใน 20 อันดับสูงสุดของผู้ใช้เฟซบุ๊กก็มี กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ติดอันดับที่ 13 ของโลก มีผู้ใช้ 3.33 ล้านคน สิงคโปร์อันดับที่ 17 มีผู้ใช้ 2.66 ล้านคน

สำหรับผู้ใช้เฟซบุ๊กในกรุงเทพฯ 8.68 ล้านคน ถือว่ามากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรในเขตเมืองซึ่งคาดว่าน่าจะมีจำนวนถึง 16 ล้านคน ทั้งนี้เป็นตัวเลขประเมินของสำนักงานสถิติแห่งชาติ



ข่าวโดย : Spring News

สะดวกสุดๆ…ลากส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์

ถ้าคุณเคยได้ดูภาพยนตร์เรื่อง The Avengers หรือ Iron Man คุณเคยจะต้องร้องว้าวตอนที่เห็นอินเตอร์เฟซของคอมพิวเตอร์ที่ Tony Stark และเพื่อนร่วมงานใช้ ซึ่งมันจะส่งข้อมูลด้วยการเลื่อนหรือลากหน้าต่างไปให้กัน ตอนนี้ทาง Natan Linder และ Alexander List ได้ใช้แนวความคิดนั้นมาพัฒนาจนเป็นแอพพลิเคชั่นนี้

แอพนี้มีชื่อว่า Swÿp เป็นแอพบนอุปกรณ์ iOS และสามารถใช้งานร่วมกับการสั่งงาน gestures control ของแอปเปิ้ลได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คุณลากไอคอนของไฟล์ที่คุณต้องการจะส่งไปยังจากเครื่องของคุณไปยัง อีกเครื่องที่ต้องการ โดยอุปกรณ์ของ iOS ทั้งสองเครื่องที่ใช้ไม่จำเป็นต้องผ่านการเจลเบรคหรือแฮคเพื่อติดตั้งแอพนี้

เคล็ดลับของการลากไฟล์ข้ามอุปกรณ์มีด้วยกัน 2 ข้อ ข้อแรกการใช้นิ้วลากจะเป็นตัวบอก Swÿp ว่าคุณต้องการจะส่งไฟล์ และใช้การลากในรูปแบบของการรับไฟล์ แต่มันยังไม่ชัดเจนว่าอุปกรณ์ทั้งสองตัวต้องเปิด Swÿp เอาไว้ตลอดเวลารึเปล่าถึงจะรับส่งไฟล์ได้ หรือว่า Swÿp สามารถเปิดการทำงานได้อัตโนมัติบนเครื่องของผู้รับ ถ้ามันตรวจจับได่ว่ามีคนกำลังจะส่งไฟล์มาให้

Linder และ List ได้เขียนบทความแนะนำและแหล่งข้อมูลสำหรับนักพัฒนาที่สนใจเอาไว้ ที่นี่  ไม่แน่นะในอนาคตพวกเค้าอาจจะพัฒนาให้รับส่งไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ iOS ไปยังคอมพิวเตอร์ได้ และนี่อาจจะเป็นการ sync รูปแบบใหม่ที่น่าจะได้ใช้กันในอนาคตอันใกล้นี้


ที่มา Dailygizmo