วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

สงกรานต์ที่เปลี่ยนไป

    
     มีเสียงพูดกันมากว่ายิ่งวันสงกรานต์ก็ยิ่งเป็นอะไรที่ดิบ เถื่อน โหด ขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี จนแทบไม่เหลือเค้าของวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของไทย ไปทางไหนไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด ก็จะเห็นคนเอาถังน้ำใส่ท้ายรถบรรทุกไล่สาดน้ำหรือฉีดน้ำใส่กัน และน้ำที่ใช้นั้นก็ไม่ใช้น้ำหอมหรือน้ำสะอาด หากแต่ส่วนใหญ่ก็ตักหรือสูบมาจากคูคลองข้างทาง และน้ำที่ใช้สาดนั้น บางรายก็ปนสีปนแป้ง หรือหนักไปจนถึงผสมยาย้อมผมหรือเม็ดแมงลักลงไปด้วย ซึ่งการเล่นน้ำสงกรานต์แบบวิตถารเช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายและทรัพย์สินของผู้อื่น หรืออาจเกิดอันตรายถึงชีวิตหรือพิกลพิการได้

      และภาพของคนที่ออกมาเล่นสงกรานต์ ก็ไม่ใช่คนที่แต่งชุดไทยสวยงามถือขันใส่น้ำโรยกลีบกุหลาบดอกมะลิ อย่างที่เห็นในโปสเตอร์ของการท่องเที่ยวฯ หรอกครับ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็นุ่งน้อยห่มน้อย ถ้าเป็นผู้ชายก็อาจนุ่งกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว ถือปืนฉีดน้ำไล่ฉีดกัน และคนที่เคยกังวลเรื่องวันวาเลนไทน์ว่าเป็นวันที่ผู้หญิงเสียเนื้อเสียตัว นั้น อาจไม่ทราบว่าสงกรานต์ก็เป็นวันที่ผู้หญิงถูกล่วงเกินทางเพศมากที่สุด และหนักหนาสาหัสกว่าวันวาเลนไทน์ เพราะเป็นการถูกกระทำโดยกลุ่มคนที่ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน และกระทำการที่ป่าเถื่อนในที่สาธารณะ
 
      ผมไม่ทราบว่าเราเห็นดีเห็นงามหรือปล่อยปละให้วันสงกรานต์มีสภาพเช่นนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ คาดว่าในตอนแรกคงเป็นเพียงความคึกคะนองของคนกลุ่มเล็กๆ แต่เมื่อไม่มีใครเข้าไปจัดการแก้ไขให้ถูกต้อง ก็กลายเป็นความนิยมที่แพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งในหมู่คนไทยเราเองและนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ซึ่งพูดก็พูดเถอะครับว่าคงไม่มีประเทศไหนในโลกที่ปล่อยให้นักท่องเที่ยวมา เดินเกือบจะเปลือยกายอยู่กลางเมืองเช่นที่เมืองไทย และก็คงไม่มีประเทศไหนในโลกที่ทำลายประเพณีอันดีงามของตน เช่นที่คนไทยทำกับวันสงกรานต์ของเรา

      ผมคิดว่ายังมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่เดินทางมาเมืองไทยเพื่อศึกษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนไทย ทำอย่างไรครับที่จะสามารถให้พวกเขาได้รู้จักและเข้าใจแก่นความคิดและปรัชญา ของสงกรานต์ มากกว่าการแต่งตัวแบบโป๊ๆ เปลือยๆ เอาปืนฉีดน้ำใส่กัน ทำอย่างไรครับ ถึงจะทำให้วันสงกรานต์เป็นวันที่ทุกคนมีความสุขร่วมกัน ไม่ใช่ความสนุกสนานของคนบางกลุ่มและความเดือดร้อนของคนบางกลุ่ม

      สิ่งที่ทำท่าว่าจะทำให้เทศกาลสงกรานต์ หรือวันฉลองปีใหม่ไทย กลายเป็นงานที่ไม่น่าเฉลิมฉลอง ไม่น่าท่องเที่ยวและกลายเป็นงานที่เต็มไปด้วยอันตรายที่จะมาถึงโดยไม่รู้ เนื้อรู้ตัวก็เพราะเกิดจากผู้ที่ไปเฉลิมฉลองกันนั้นไม่ได้มีจิตสำนึกใน เรื่องของการเฉลิมฉลองสงกรานต์ หากแต่เป็นที่ประลองความยิ่งใหญ่ของกลุ่มแก๊งที่พร้อมจะก่อเรื่องก่อเหตุ ยิ่งหากมีแอลกอฮอล์อยู่ในสายเลือดด้วยโอกาสที่จะก่อเรื่องก็เพิ่มสูงขึ้น ดังจะเห็นได้จากข่าวที่ปรากฏทั้งในหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ที่เกิดเหตุ ทะเลาะวิวาท ถึงกับฆ่ากันตาย แม้แต่ที่เมืองหลวงกรุงเทพมหานคร ถึงกับไล่ยิงกันกลางเมือง

      ประเภณีสงกรานต์ในยุคนี้ ไม่ได้ทำให้ผู้คนทำบุญใส่บาตร การสรงน้ำพระ การรดน้ำขอพรผู้ใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคล หรือการเล่นสงกรานต์แบบอารยชน ผมก็เชื่อว่าหลายๆ คน คงจะเลือนๆ ไปแล้ว และจับความแค่การสาดน้ำใส่กันเท่านั้นรดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ นั่นอาจเป็นเพราะวันเวลาที่เปลี่ยนไปทำให้ประเพณีสงกรานต์จากเมื่อก่อนอยู่ ในวัด ก็ไปอยู่ที่ถนนข้าวนั่น ข้าวนี่ แล้วแต่ว่า แต่ละจังหวัดจะตั้งชื่อ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไปเล่นสาดน้ำดูดซับเม็ดเงินจากการจับจ่ายของนัก ท่องเที่ยว มากกว่าจะมุ่งเน้นให้มีจิตสำนึกอันดีงาม งานฉลองสงกรานต์จึงเป็นงานประกาศศักดาของขาใหญ่แก๊งกวนเมือง เกิดเหตุทะเลาะวิวาท ฆ่ากันตายในหลายพื้นที่


       "กระทรวงวัฒนธรรม" ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเจ้าภาพในการรณรงค์ให้รักษ์ประเพณีอันดั้งเดิมและดีงามนี้เอาไว้ ก็จัดงานรดน้ำขอพรศิลปินแห่งชาติ ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม ไปตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน โดยมุ่งส่งเสริมให้ประชาชนได้ตระหนักและร่วมกันสืบสานคุณค่าความงดงามของ ประเพณีสงกรานต์ ตามแบบวิถีไทย ก็ไม่ได้ทำให้การสืบสานวัฒนธรรมอันดีงามของไทย รวมทั้งจิตใจของคนไทยดีขึ้นไปกว่าแต่ก่อน แต่ดูจะเลวร้ายจนน่าจะกู่ไม่กลับกันเสียมากกว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่การทำหน้าที่รณรงค์สืบสานวัฒนธรรมอันดีงามของไทย จะต้องรุกให้ถึงในทุกระดับ และเข้มแข็งมากกว่าการกระตุ้นเตือนเพียงแค่ปีละครั้งก่อนถึงวันเทศกาล เพราะวันนี้เหตุปัจจัยที่ทำให้วัฒนธรรมไทยผิดเพี้ยนมันมากเกินกว่าจะใช้วิธี ช้าๆ เนิบๆ เหมือนอย่างที่ทำกันอยู่ในขณะนี้


ขอบคุณข้อมูลจาก คอลัมน์วันเว้นวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ กับ ประภัสสร เสวิกุล (komchadluek.net)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น