เชื่อหรือไม่?!! คนไทยมีหนี้ที่ไม่ได้ก่อ เฉลี่ยคนละประมาณ 48/วัน/คน
เรื่องนี้มายังไง ต้องเท้าความไปในอดีตค่อนข้างไกลสักหน่อย ตอน
ปี1993 เราควบคุมค่าเงินบาทอยู่ พูดง่ายๆก็คือ
25/1ดอลล่าห์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง นโยบายแบบนี้เรียกว่าการปิดกั้นทางการเงิน ไปกู้ต่างประเทศก็ค่อนข้างจะยาก
เพราะเนื่องจากนโยบายที่ปิดกั้น แต่ทีนี้ใครสักคนในรบ. เล็งเห็นว่า ฮ่องกงในขณะนั้น กำลังจะกลับคืนสู่จีนในปี 2000 (ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินเอเซีย)
"เราเลยคิดการใหญ่เป็นศูนย์กลางทางการเงินเอเซียแทนฮ่องกง"
ก็เลยออกนโยบายปล่อยเสรีทางการเงิน
ทำให้เอกชนสามารถเข้าไปกู้เงินจากต่างประเทศได้โดยสะดวก ทีนี้ก็กู้กันใหญ่เพราะดอกมันต่างกันมาก กู้ในประเทศดอกอยู่ที่ประมาณ 13-17%
กู้ต่างประเทศดอก 5 ก็เลยมีการกู้ต่างประเทศมาแล้วปล่อยในไทย
กินส่วนต่างตรงนี้เศรษฐกิจพุ่งพรวด อสังหาริมทรัพย์ ผุดเป็นดอกเห็ดตลาดหุ้นโตวันโตคืน จนมีคนกล่าวว่าประเทศไทยกำลังเป็นเสือตัวที่ห้าแห่งเอเชีย
และแล้วฝันก็สลายลงในหายนะครั้งใหญ่ของประเทศที่เรียกว่า "วิกฤติการต้มยำกุ้ง"
ปี 2540 การมาถึงของ จอร์จ โซรอส กลุ่มทุนของนายคนนี้โจมตีค่าเงินบาท จนชนะ ทำให้ค่าเงินบาทต้องประกาศลอยตัว (ที่น่าเจ็บปวดก็คือมีคนไทยสองกลุ่มร่วมด้วย) ผลของความพ่ายแพ้ในครั้งนั้น เงินทุนสำรองที่มีอยู่กว่า 3 หมื่นล้านเหรียญ เหลือแค่ 2800 ล้าน รัฐบาลขณะนั้นต้องประกาศค่าเงินบาทลอยตัว
เงินบาทจากที่ 25/1 กลายเป็น 50/1
หนี้ที่เอกชนไปกู้ไว้เพิ่มเป็นสองเท่าในพริบตา
ซึ่งส่วนใหญ่ที่ไปกู้ไว้เป็นหนี้ระยะสั้นคือมีกำหนดใช้ให้หมดในประมาณ 5 ปี ก็เจ๊งสิครับพี่น้อง ไม่มีเงินใช้เขา ถูกฟ้องล้มละลายกันทั่วหน้า
ทุกวันนี้ยังมีซากแห่งความพ่ายแพ้ในรูปแบบตึกที่สร้างไม่เสร็จอยู่เลย
คนตกงานเป็นล้านๆ คน ค้าขายกับต่างประเทศไม่ได้
เพื่อแก้ไข รัฐบาลในขณะนั้นต้องเข้าไปอุ้มหนี้เอาไว้เพราะไม่งั้นจะไม่มีเครดิต เวลาไปค้าขายต่างประเทศ และหนี้ที่ขึ้นในตอนนั้นมีมูลค่าประมาณ "1300 ล้านล้านบาท"
บางคนอาจจะคิดว่าผมพิมพ์ผิดหรือเปล่า ไม่ผิดครับเลขศูนย์มีทั้งหมด 14 ตัว ย้ำอีกที "1300 ล้านล้านบาท" ในเมื่อไม่มีเครดิต รัฐบาลในขณะนั้นทำยังไง ไปกู้ใครเขาก็ไม่ให้เพราะไม่มีเครดิต ก็เลยต้องไปกู้กองทุนระหว่างประเทศหรือที่เราเรียกว่า IMF นั่นเอง (เพื่อมาโปะหนี้ตรงส่วนนี้)
และเมื่อมาถึงสมัยของ "ท่านผู้นั้น" และขอยินดีด้วย "ท่านผู้นั้น" ใช้หนี้ IMF ไปจนหมด เอ้าเฮ ~
แต่!!! อย่าพึ่งดีใจไป เรากู้ไอเอ็มเอฟมานี่เราใช้ไปแค่ดอก จาก 8000 ล้าน ใช้ไป 3000 ล้าน พูดง่ายๆก็คือเราติดหนี้เค้าอยู่ล้านหนึ่ง ใช้ไปแค่ 3000 เหอๆ ผ่านมาห้า รัฐบาลแล้วยังไม่หมดหนี้เลย ที่ว่า รัฐบาลใหม่ต้องกู้เพราะรัฐบาลก่อนหน้านั้น ใช้เงินไปหมดแล้วไม่เป็นความจริงนะจ๊ะ เราจนมาตั้งนานแล้ว
ทีนี้มันเกี่ยวกับเรายังไงคือต้องเข้าใจก่อนว่าหนี้ที่เกิดขึ้นเนี่ย รัฐบาลกับธนาคารกลางแห่งประเทศไทยแบ่งใช้กันคนล่ะครึ่ง หนี้ที่เกิดขึ้นมันจะมาในรูปแบบภาษี ดอกเบี้ยเงินฝากที่ ลดลง
และดอกเบี้ยเงินกู้ที่มากขึ้นซึ่งก็คือเราต้องจ่ายหนี้ที่ไม่ได้ก่อนี่
เฉลี่ยแล้วคนละ 48/วัน/คน(คิดจากคนไทยมีหกสิบล้านคน)
บทเรียนจากวิกฤติครั้งนั้นน่าเสียดายที่ ในบทเรียนไม่เคยมีสอนเลย
เด็กรุ่นใหม่ก็ไม่รู้ อย่าว่าแต่เด็กรุ่นใหม่เลย รุ่นกลางเก่ากลางใหม่ (28) อย่างผมยังไม่ค่อยรู้เลย (ผู้เขียน)
ทุกวันนี้เราสอนถึงความเจ็บปวดในครั้งนั้นหรือเปล่า ผมเห็นเด็กด่าแม่เพียงแค่เพราะไม่ซื้อโทรศัพท์บีบีให้ เรากำลังสอนให้เด็กเน้นหนักไปทางวัตถุนิยม สอนให้ฟุ้งเฟ้อโดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาหรือเปล่า วิกฤติครั้งเราทำกันด้วยน้ำมือของเราทุกคน น่าเสียดายที่เราไม่มีการสอนให้เรียนรู้ถึงข้อผิดพลาดของตัวเอง อาาา ยินดีด้วยประเทศไทย
บทความจาก http://www.pantip.com/cafe/social/topic/U11995565/U11995565.html (เข้าไปอ่านคอมเม้นกันต่อได้ที่นี่เลยนะ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น