ต้นทุนก๊าซธรรมชาติสำหรับผลิตไฟฟ้า
มีแนวโน้มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก
โดยราคาก๊าซที่นำมาคำนวณค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ หรือ เอฟที งวดที่ 1 เดือนมกราคม
- เมษายน เฉลี่ยอยู่ที่ 280 บาทต่อล้านบีทียู จากฐานปีก่อนที่ 260
บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งงวดที่ 2 และ 3 ของปีนี้จะปรับขึ้นเป็น 300 บาทและ
320 บาทต่อล้านบีทียู
ขณะที่ นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์
ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในงวด 1
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ เรกูเลเตอร์ ตัดสินใจตรึงค่าเอฟที
เพื่อลดภาระประชาชนในภาวะน้ำท่วม แต่ทำให้กฟผ.มีภาระ 8,000
ล้านบาทและไม่สามารถรับภาระเพิ่มได้อีก
เพราะต้องลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าและสายส่ง
รวมถึงเตรียมความพร้อมหากเกิดสงคราม
ที่อาจจะทำให้น้ำมันมีราคาสูงขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 35 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ส่วนการหยุดจ่ายก๊าซของพม่ามายังไทยในวันที่8-17เมษายน
ภาครัฐและเอกชนควรช่วยกันลดการใช้พลังงานเพื่อลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิง
สำหรับผลิตไฟฟ้า
ขณะที่กระทรวงพลังงานได้จัดตั้งคณะทำงานพิจารณายกร่างกฎหมายกองทุนสำรอง
น้ำมันแห่งชาติ พร้อมเตรียมจ้างสถาบันการศึกษามาศึกษาความเป็นไปของโครงการ
โดย นายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน
ในฐานะประธานคณะทำงานฯ กล่าวว่า กองทุนฯที่อาจตั้งขึ้นใหม่
จะทำหน้าที่บริหารจัดการสต็อกน้ำมันดิบหรือน้ำมันสำเร็จรูป
ที่จะสำรองเพิ่มขึ้นจาก 60 วันเป็น 90 วัน โดยหากราคาน้ำมันแพงเกินไป
จะเป็นกลไกปล่อยน้ำมันสู่ตลาด หรืออุดหนุนราคาให้ถูกลง ทั้งนี้
อาจใช้วิธีเก็บเงินจากน้ำมันขายปลีก เช่นเดียวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ขอบคุณ:sanook.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น